บางจากฯ แปลงสวนส้มร้างทุ่งรังสิต1,200 ไร่เป็นศูนย์ปาล์มน้ำมัน ฟื้นรายได้เกษตรกร

2/10/55
โดยมติชน เมื่อ 27 ก.ย.2555

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เปิดศูนย์ศึกษาและพัฒนาการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ทุ่งรังสิต อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร โดยพลิกสวนส้มร้างให้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่ยั่งยืน สร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร

ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ทุ่งรังสิตจะเป็นแหล่งให้ เกษตรกรผู้สนใจจะได้เรียนรู้การปลูกปาล์มน้ำมันอย่างครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกต้นพันธุ์ การปรับปรุงดินเปรี้ยว รวมถึงวิธีการปลูกปาล์มน้ำมันให้ได้ผลตอบแทนที่ดี และสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่มเกษตรกรเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนประสบการณ์และช่วยเหลือระหว่างกัน

โดยบริษัท บางจากฯ สนับสนุนให้มีการปลูกปาล์มเฉพาะในพื้นที่ดินเปรี้ยว ซึ่งไม่สามารถปลูกข้าวและพืชอื่นๆ ได้ เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร และยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ซึ่งผลผลิตจากปาล์ม จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในประเทศ สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ประหยัดเงินตราต่างประเทศและลดการขาดดุลการค้า

นอกจากนี้ บริษัท บางจากฯ ยังมีแผนลงทุนสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มขนาดมาตรฐานเมื่อมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในปริมาณที่มากเพียงพอ เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันในพื้นที่ ตลอดจนเป็นผู้รับซื้อผลผลิตจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าว เพื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล ณ ศูนย์ผลิตไบโอดีเซล อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รองรับการจำหน่ายไบโอดีเซลผ่านสถานีบริการน้ำมันบางจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง โครงการ “ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ทุ่งรังสิต” อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก บริษัท บางจากฯ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งในเบื้องต้น ทำการทดลองปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ 1,200 ไร่

นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีนโยบายสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซล โดยส่งเสริมให้นำไบโอดีเซล B 100 ผสมในน้ำมันดีเซลในสัดส่วนร้อยละ 3 – 5 เพื่อให้ได้ไบโอดีเซลที่สอดคล้องกับปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ

นายอนันต์ ลิลา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า พื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตมีศักยภาพในการปลูกปาล์มน้ำมัน สามารถพัฒนาเป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางได้ เนื่องจากมีระบบชลประทานที่ดี และสามารถปลูกได้ในดินเปรี้ยว ซึ่งจากการทดลองปลูกกว่า 6 ปี พบว่าได้ผลผลิตที่ดี เนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ชอบน้ำ จึงช่วยดูดซับน้ำในฤดูน้ำหลาก ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานครได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ คัดเลือกและจัดหาพันธุ์ปาล์ม ตลอดจนให้ความรู้ในการจัดการสวนปาล์มแก่เกษตรกรในโครงการนี้

นายมณฑล สระทองน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. ให้บริษัท บางจากฯ เช่าพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน และพร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและช่วยแก้ปัญหาด้านภาระหนี้สินที่มีอยู่กับธกส.
Read more ...

ปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย 2/2

2/10/55
โดยคมชัดลึก เมื่อ 6 ส.ค.2555

ปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย (2) : คอลัมน์ เกษตรยุคใหม่ : โดย ... รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ

คราวที่แล้วได้เล่าเกริ่นนำไปแล้วว่ามาเลเซียมีความก้าวหน้าด้านปาล์มน้ำมันมากกว่าไทยค่อนข้างมาก และได้ใส่ใจเรื่องของการพัฒนาพันธุ์และมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐ ทำให้ทุกวันนี้ปาล์มน้ำมันของมาเลเซียเป็นอย่างที่เห็น ประเทศที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในโลกก็คือ

อินโดนีเซีย ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านไร่ รองลงมาคือ

มาเลเซียคือ 35 ล้านไร่ ตามด้วย

ไนจีเรีย สำหรับ

ไทยเป็นอันดับสี่ คือประมาณ 5.5 ล้านไร่ เรียกได้ว่าห่างกันค่อนข้างมาก

จากการที่ได้ไปดูงาน

เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมัน

ที่เมืองอิโปห์ของมเลเซีย โดยมี 

ดร. อึ๊ง ซิวกี่ 

ผู้เชี่ยวชาญปาล์มน้ำมันซึ่งได้ค้นคว้าพัฒนาปาล์มน้ำมันมาตลอดชีวิต เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากและมีส่วนในการทำให้ปาล์มน้ำมันของมาเลเซียมีความก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้

ระหว่างทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมืองอิโปห์ ประมาณเกือบ 200 กิโลเมตร ทั้งสองข้างทางเป็นสวนปาล์มเกือบทั้งหมด แทบไม่พบสวนยางอย่างในอดีต เพราะรัฐบาลมาเลเซียมีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่ายางพาราไม่น่าจะเป็นพืชที่เหมาะสมสำหรับมาเลเซีย เพราะขาดแรงงานในการกรีดยางและเห็นว่าน้ำมันปาล์มในอนาคตน่าจะมีความสำคัญมากขึ้นในหลายๆ ด้าน จึงกำหนดนโยบายเปลี่ยนยางพารามาเป็นปาล์มน้ำมัน และครองความเป็นเลิศด้านปาล์มน้ำมันอยู่ ในขณะที่ปล่อยให้ไทยเราเป็นผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเราก็ส่งออกเพียงในรูปของผลิตภัณฑ์ยางเบื้องต้นซึ่งมีราคาต่ำ นั่นคือยางข้น ยางแผ่น เหมือนในอดีต

ปาล์มน้ำมันความจริงแล้วก็ไม่ใช่พืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในมาเลเซียหรือว่าอินโดนีเซีย แต่เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วคือปี พ.ศ.2391 ชาวดัตช์เป็นคนนำปาล์มน้ำมันเข้ามาปลูกที่อินโดนีเซียในลักษณะของไม้ประดับ ซึ่งต่อมาก็มีการขยายเข้ามาในมาเลเซียอีก 62 ปีต่อมา จึงเริ่มเห็นประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน นอกเหนือจากการเป็นไม้ประดับ คือการนำมาสกัดน้ำมันเพื่อเป็นอาหารใช้แทนน้ำมันจากสัตว์ น้ำมันถั่วเหลืองหรือถั่วลิสงได้

ในช่วงแรกที่นำเข้ามาในมาเลเซีย เป็นการดำเนินงานของเอกชนชาวอังกฤษ แต่ต่อมาอีกประมาณ 50-60 ปี รัฐบาลมาเลเซียเห็นความสำคัญและเห็นอนาคตที่สดใสของปาล์มน้ำมัน จึงเข้ามาให้ความสนใจและผลักดันเป็นพิชเศรษฐกิจตัวใหม่เข้ามาทดแทนยางพารา อย่างน้อยก็เพื่อเป็นหลักประกันความล้มเหลวโดยไม่ยอมเสี่ยงกับการสร้างรายได้จากพืชชนิดเดียวเช่นยางพาราที่เดิมสร้างรายได้หลักให้มาเลเซียอีกต่อไป ปัจจุบันมาเลเซียใช้น้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคในประเทศประมาณ 60% ที่เหลือมีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งส่งออกบางส่วน แต่มีการนำมาใช้ทำเชื้อเพลิงน้อยมาก

มาเลเซียปลูกปาล์มน้ำมันมาก เป็นพืชหลักของประเทศ แต่ไม่ได้ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม รัฐบาลให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีองค์กรต่างๆ ที่ดูแล และมีสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและเพิ่มมูลค่าของน้ำมันปาล์ม ที่สร้างผลงานหลายอย่างออกมา ทำให้มาเลเซียสามารถสร้างความเป็นเลิศด้านนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยภาพรวมแล้วไม่ว่าเราจะครองความเป็นหนึ่งด้านใดก็ตาม เช่น ข้าว กุ้ง ยางพารา สิ่งเหล่านี้ทำได้อย่างมากคือการขายผลผลิตในรูปวัตถุดิบในปริมาณมากเท่านั้น เราแทบไม่ได้ใส่ความรู้จากการวิจัยเพื่อความยั่งยืนเข้าไปเลย เหตุผลก็คงเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าหาคนที่มีวิสัยทัศน์เรื่องนี้ได้น้อยมากในเมืองไทยครับ!
Read more ...

ปาล์มน้ำมันในมาเลเซีย 1/2

2/10/55
โดยคมชัดลึก เมื่อ 30 ก.ค. 2555

ปาล์มน้ำมันในมาเลเซีย : คอลัมน์ เกษตรยุคใหม่ : โดย ... รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมห้องแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมันที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในมาเลเซีย ซึ่งทำธุรกิจเพาะกล้าปาล์มจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต้นปาล์มลูกผสมพันธุ์ดีที่คัดมาแล้ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ปาล์มน้ำมันของมาเลเซียมีความก้าวหน้ากว่าเมืองไทยมาก ทั้งในเรื่องของผลผลิตและปริมาณน้ำมันในผลปาล์ม

ปัจจุบันบริษัทนี้ผลิตต้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปีละประมาณ 6 หมื่นต้นเพื่อขายในประเทศ ปัจจุบันสวนปาล์มในมาเลเซียประมาณ 7 หมื่นไร่ ปลูกปาล์มพันธุ์นี้อยู่

เหตุผลที่ต้นปาล์มจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหนือกว่าต้นกล้าทั่วไปก็คือความสม่ำเสมอของต้น ทั้งการเติบโตและผลผลิต เพราะว่าการคัดเลือกต้นพันธุ์ที่จะนำมาขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนั้นต้องมีหลักเกณฑ์ ซึ่งโดยทั่วไปก็คือการคัดเลือกต้นที่ให้ผลผลิตสูง ผลมีขนาดใหญ่ การสุกของผลในทะลมีความสม่ำเสมอ และเรื่องที่สำคัญคือมีเนื้อหนาและเมล็ดเล็ก

ทั้งหมดนี้เป็นผลโดยรวมให้ปริมาณน้ำมันในผลสูงมากกว่า 26% ถ้ามองเป็นรายต้นอาจดูไม่มากเท่าใดนัก แต่ถ้าปลูกกันเป็นไร่ ผลผลิตและปริมาณน้ำมันที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็เป็นวิธีการขยายพันธุ์แบบหนึ่ง เหมือนกับการปักชำ หรือการตอนกิ่ง นั่นก็คือเป็นการขยายพันธุ์โดยไม่ใช้เพศ ต้นที่ได้จึงควรเหมือนต้นแม่ทุกประการ ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า "โคลนนิ่ง" แต่ว่าการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออาจต่างจากการขยายพันธุ์แบบตอนกิ่งหรือปักชำตรงที่ว่า อาจมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นได้บ้าง เพราะว่าชิ้นส่วนเนื้อเยื่อที่นำมาขยายพันธุ์มีขนาดเล็กมากและต้องมีการแบ่งเซลล์หลายต่อหลายครั้งเพื่อการเติบโต จึงมีโอกาสผิดเพี้ยนได้มากกว่า

สำหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมันนั้น อาจเป็นวิธีการเดียวของการขยายพันธุ์โดยไม่ใช้เพศ เพราะว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและไม่มีการแตกหน่อ จึงไม่สามารถตอนกิ่งหรือปักชำได้ ความยากจึงอยู่ตรงนี้ และต้องมีการศึกษาวิจัยอย่างมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากต้นปาล์มแต่ละต้นมีการตอบสนองต่อการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เหมือนกัน

บางครั้งอาจพบปัญหาว่าเพาะเลี้ยงมาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่ไม่สามารถชักนำให้เกิดต้นและรากได้ หมายความว่าเกิดการเสียเปล่า ดังนั้นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สำเร็จได้เช่นกัน

ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้น เติบโตและให้ผลผลิตต่อเนื่องได้มากกว่า 25 ปี ดังนั้นถ้าลงทุนปลูกไปแล้วโดยใช้พันธุ์ไม่ดี ก็ต้องทนอยู่กับต้นนั้นไปนาน ได้ผลผลิตต่ำ น้ำมันน้อย ไม่คุ้มค่าการลงทุน เกษตรกรผู้ปลูกจึงพยายามขวนขวายหาพันธุ์ปาล์มที่ดีมาปลูก โดยการสั่งเมล็ดเข้ามาจากแหล่งปลูกต่างๆ ที่มีชื่อเสียง เช่นคอสตาริกา แต่ส่วนใหญ่แล้วพันธุ์ที่ได้มามักจะเป็นของเหลือทิ้งจากประเทศเหล่านั้น เพราะว่าคงไม่มีใครส่งของดีเข้ามาให้เรา

ผลก็คือปาล์มน้ำมันของเราไม่มีทางสู้คนอื่นได้เลย สิ่งที่จะทำให้ไทยเรามีความก้าวหน้าทันโลกได้ก็คือ ต้องมีการพัฒนาพันธุ์ปาล์มที่เหมาะสมสำหรับเมืองไทยขึ้นมาใช้เอง และแน่นอนว่าต้องใช้ทั้งเงินและเวลา รวมทั้งนักวิจัยที่ทุ่มเทในเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้น ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับปรุงพันธุ์ ไม่เหมือนพืชล้มลุกทั้งหลายที่ใช้เวลาสั้นกว่า

คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าการปลูกปาล์มของมาเลเซียมีมากน้อยเพียงใด และมีความก้าวหน้ามากกว่าเราขนาดไหนครับ!
Read more ...

เกษตรกรอีสานเห่อปาล์ม ยอดจองต้นกล้าพุ่ง

21/9/55
โดยฐานเศรษฐกิจ เมื่อ 24 เม.ย.55

เกษตรกรภาคอีสานให้ความสนใจปลูกปาล์มน้ำมันไม่น้อยหน้ายางพารา ผอ.ศูนย์วิจัยฯเผยยอดจองต้นพันธุ์ปาล์มถล่มทะลายทะลุ 3 แสนต้น ขณะที่ศูนย์ผลิตได้เพียง 70,000 ต้น เสนอคณะกรรมการพิจารณาแผนผลิตพันธุ์ปาล์มขอผลิตเพิ่มเป็น 5.6 แสนต้น คาดเห็นชอบวันศุกร์ 27 เมษายน ศกนี้

นายอุดม คำชา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดหนองคาย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าขณะนี้เกษตรกรพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)ให้ความสนใจปลูกพืชปาล์มน้ำมันไม่น้อยไปกว่าให้ความสนใจปลูกยางพารา ดังจะเห็นได้จากปริมาณการจองต้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดหนองคายในฤดูการผลิตนี้สูงถึง 3 แสนต้น ขณะที่ศูนย์สามารถผลิตได้เพียง 70,000 ตันเท่านั้น คาดว่าส่วนที่เหลือเกษตรกรจะไปหาซื้อจากแปลงเพาะต้นพันธุ์ปาล์มของเอกชน
เหตุที่เกษตรกรให้ความสนใจปลูกปาล์มน้ำมันกันค่อนข้างมาก มีปัจจัยหลายประการ อาทิ ราคาสูง เนื่องจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาราคาผลปาล์มดิบที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างดีคือกก.ละ 6-7 บาท แม้ว่าราคาผลปาล์มทางภาคอีสานจะไม่สูงเท่ากับทางภาคใต้ เพราะจุดรับซื้อมีน้อยและขนส่งไกลผู้รวบรวมผลปาล์มบางรายต้องนำส่งโรงงานไกลถึงจังหวัดชลบุรี แต่เกษตรกรพอใจกับราคาที่ขายได้กก.ละประมาณ 3-4 บาท และมองว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีอนาคตเพราะให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงกว่าพืชน้ำมันชนิดอื่น และเป็นพืชพลังงานที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ดีผลผลิตปาล์มน้ำมันพื้นที่ภาคอีสานยังมีไม่มากส่วนใหญ่พื้นที่ที่ให้ผลผลิตแล้วอยู่ในเขตจังหวัดหนองคาย
นายอุดม กล่าวว่าจากความต้องการต้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันของเกษตรกรมีเข้ามาจำนวนมากนั้น ทางศูนย์ จึงได้เสนอคณะกรรมการพิจารณาแผนผลิตพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ที่มีอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานโดยได้เสนอขอผลิตต้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันเพิ่มเป็นปีละ 5.6 แสนต้น เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรภาคอีสานในหลายจังหวัดด้วยกันได้แก่ หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ทั้งนี้เพราะศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย รับผิดชอบครอบคลุมภาคอีสานเกือบทั้งหมด คาดว่าจะได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการที่จะมีการประชุมในวันที่ 27 เมษายน ศกนี้
"ความต้องการต้นพันธุ์ปาล์มของเกษตรกรที่มากกว่าทางศูนย์ผลิตได้ ทำให้เกษตรกรต้องไปจัดหากล้าปาล์มกันเองมีทั้งซื้อจากเอกชน ซึ่งขายกันในราคาค่อนข้างแพงคือต้นละ 150-250 บาท (ต้นกล้าอายุ 8 เดือน) ขณะที่ต้นพันธุ์ของศูนย์อายุเท่ากันจำหน่ายเพียงต้นละ 55 บาทเท่านั้น หรือบางรายใช้วิธีนำเมล็ดปาล์มน้ำมันที่ร่วงจากต้นมาเพาะเป็นต้นกล้า ซึ่งไม่ถูกหลักวิชาการที่ต้นกล้าปาล์มน้ำมันจะต้องเป็นต้นพันธุ์ที่ผลิตจากการนำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปาล์มมาผสมพันธุ์กันจนกระทั่งได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์เหมาะกับการปลูก หากให้เกษตรกรจัดหาพันธุ์ปาล์มเองอาจจะเป็นปัญหาในอนาคตคือต้นปาล์มไม่ให้ผลผลิต"
อนึ่งผลผลิตปาล์มเฉลี่ยต่อไร่ทั้งประเทศอยู่ที่ 2.6-2.8 ตันต่อไร่ ภาคใต้ 2-6 ตันต่อไร่ สำหรับผลผลิตปาล์มน้ำมันพื้นที่ภาคอีสาน จากผลการปลูกพื้นที่ที่ให้น้ำเพียงพอคือ 420ลิตรต่อต้นต่อสัปดาห์ในช่วงฤดูแล้ง จังหวัดหนองคายได้ผลผลิต 2.5 ตันต่อไร่ จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดกาฬสินธุ์ 3 ตันต่อไร่ ผลผลิตต่อไร่ระดับนี้ชาวสวนปลูกแล้วยังมีกำไร

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,734 26-28 เมษายน พ.ศ. 2555
Read more ...

เกรท อะโกร -เอ็มเทค พัฒนาระบบสกัดน้ำมันปาล์มไม่ใช้ไอน้ำระดับชุมชน

11/4/54
เมื่อ 12 ต.ค.2552

นายนเรศว์ร ชิ้นอินมนู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรท อะโกร จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ย 49 ล้านลิตร/วัน ทำให้แต่ละปีต้องสูญเสียเงินตราในการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนการพัฒนาพืชพลังงาน เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานและลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นพืชที่มีศักยภาพในการผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซล

อย่างไรก็ตาม การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มขนาดใหญ่ 20,000-60,000 ไร่ขึ้นเพื่อรองรับการตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่กำลังผลิต 15-60 ตันผลปาล์มต่อชั่วโมงเป็นเรื่องยาก ทำให้เกษตรกรรายย่อยในหลายพื้นที่ รวมทั้งกลุ่มผู้ปลูกปาล์มรายใหม่ที่มีพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 1,000-3,000 ไร่ ต้องเสียค่าขนส่งผลผลิตที่แพงไปยังโรงสกัดน้ำมันขนาดใหญ่ที่อยู่ไกล อีกทั้งการขนส่งผลผลิตปาล์มในระยะทางไกลๆยังเป็นสาเหตุทำให้คุณภาพและเปอร์เซ็นต์ของน้ำมันปาล์มที่สกัดได้ลดลงด้วย

“จากปัญหาข้างต้น บริษัทฯ จึงทำการวิจัยร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เพื่อพัฒนาเครื่องต้นแบบระบบการสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำระดับชุมชน CPP-1500 ซึ่งเป็นเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำเครื่องแรกของโลกที่สามารถสกัดน้ำมันปาล์มเกรด A และไม่มีปัญหาน้ำเสีย รวมทั้งกากที่เหลือจากการสกัดยังสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์อีกด้วย นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวยังมีระบบการควบคุมการทำงานที่สะดวก ติดตั้งง่าย ประหยัดพลังงานและสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย สอดคล้องกับการทำงานในระดับชุมชน โดยเฉพาะแห่งปลูกปาล์มใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 1,000-3,000 ไร่” นายนเรศว์ร กล่าว

นายนเรศว์ร กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุด บริษัทฯ และเอ็มเทค ได้ทำสัญญากับ บริษัท ศิริรัตน์ ฟู๊ด แอนด์ เอ็นเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจลานเทรายใหญ่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการซื้อขายระบบสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำขนาดกำลังการผลิต 1 ตันผลปาล์มต่อชั่วโมงจำนวน 1 เครื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตั้งและทดสอบระบบคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องได้เร็วๆนี้ ขณะเดียวยังมีผู้ประกอบการที่รวบรวมผลปาล์ม และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มแห่งใหม่กว่า 20 รายในหลายพื้นที่ฤฤได้แจ้งความจำนงที่จะเข้าเยี่ยมชมการทำงานของเครื่องต้นแบบที่โครงการไบโอดีเซลชุมชนเฉลิมพระเกียรติฯ ทุ่งหลวงรังสิตตอนบน เบื้องต้นภายในสิ้นปี 2552 จะมียอดสั่งซื้อระบบสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำประมาณ 10 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 50,000,000 บาท

อนึ่ง ที่ผ่านมาโรงหีบปาล์มน้ำมันในประเทศไทยมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ 1.โรงหีบระบบไอน้ำกำลังการผลิต 15-60 ตันผลปาล์มต่อชั่วโมง มูลค่าการลงทุน 100-150 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะสามารถสกัดน้ำมันเกรด A แต่มีข้อจำกัดเรื่องน้ำเสียที่เกิดขึ้น รวมทั้งกากที่เหลือจากการสกัดยังไปใช้ประโยชน์ได้น้อย 2.โรงหีบระบบแห้งแบบดั้งเดิมกำลังการผลิต 1-5 ตันผลปาล์มต่อชั่วโมง น้ำมันที่ได้เป็นน้ำมันเกรด B แต่มีข้อดีคือไม่มีน้ำเสีย และกากที่ได้จากสกัดสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้เพราะมีโปรตีนสูง ซึ่งปัจจุบันตลาดรับซื้อที่ กก.ละ 3-4 บาท ทางบริษัทฯ และเอ็มเทคจึงได้นำข้อดีของทั้ง 2 ระบบมาพัฒนาเป็นเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำระดับชุมชน CPP-1500
Read more ...

การสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กแบบไม่ใช้ไอน้ำ

11/4/54
การสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กแบบไม่ใช้ไอน้ำ

ระบบการสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมกับการใช้งานในระดับชุมชน ซึ่งกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มแบบดั้งเดิมไม่สามารถตอบสนองกับเงื่อนไข และข้อจำกัดของการใช้งาน มีจุดแข็ง คือ ไม่มีน้ำเสียในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานต่ำ และใช้พื้นที่น้อยในการติดตั้งโรงงาน ดูแลรักษาง่าย สามารถเคลื่อนที่ได้ ผลิตน้ำมันปาล์มเกรดเอ และกากเหลือจากกระบวนผลิตสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้

ผลงานวิจัยและพัฒนาดังกล่าว ได้ขยายผลสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก ซึ่งนับเป็นผลสำเร็จของงานวิจัยและพัฒนา จากการปรับปรุงและพัฒนาเครื่องต้นแบบฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มผลผลิตการสกัดน้ำมันปาล์ม จนได้รับการเชื่อมั่นและสามารถนำไปใช้งานจริงในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เป็น โรงหีบปาล์มในพื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ขนาดประมาณ 1,500 – 3,000 ไร่ ปัจจุบันสามารถจำหน่ายได้แล้วถึง 10 เครื่อง ตัวอย่างพื้นที่นำไปใช้งาน อาทิ อ.นาทม จ.นครพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ เป็นต้น
Read more ...

เทคนิคกระบี่สร้างเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน

11/4/54
โดย76 เนชั่น  เมื่อ 10 ธ.ค.2553

วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ ผลิตเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน พร้อมเครื่องปรับปรุงคุณภาพน้ำมันปาล์ม ต้นทุนต่ำราคา 6- 7 หมื่นบาท ให้เกษตรกรใช้ในการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ

จากการที่จังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาลืมน้ำมันประมาณ 8 แสนกว่าไร มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิต จำนวน 776,146 ไร่ มีปริมาณผลิตปีละประมาณ 1,763,617 ตัน มีรายได้จากปาล์มน้ำมัน ปีละ8,190 ล้านบาท มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มจำนวน 21 แห่ง เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรจังหวัดกระบี่มีรายได้สูง

แต่สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ไม่เคยมองข้ามเมื่อยามราคาปาล์มน้ำมันลดต่ำลง หรือผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดน้อย นั้นก็คือการช่วยเหลือตนเอง การมองหาเครื่องมือมาใช้ภายในครัวเรือนหรือภายในสวนปาล์มของตนเอง จึงเป็นสิ่งเดี่ยวที่จะทำให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถสกัดน้ำมันปาล์มได้ด้วยตัวเอง นอกจากนั้นสิ่งที่เหลือจากการสกัดน้ำมันปาล์มยังสามารถน้ำมาใช้เป็นปุ๋ยหมัก เครื่องมือสกัดน้ำมันปาล์มต้นทุนต่ำจึงเป็นที่ต้องการของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันในปัจจุบัน เป็นเครื่องมือที่สนองพระราชดำริพระนาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี

แผนกช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ ได้น้อมนำพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถคิดค้นพัฒนา เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน ต้นทุนต่ำ เพื่อการใช้ประโยชน์และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตจากปาล์มน้ำมัน และใช้ในการเรียนการสอนของแผนกช่างยนต์ในระดับ ปวช. ปวส. ของวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ มีประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง และจากภาคทฤษฏี ในเรื่องของเครื่องยนต์ การประกอบชิ้นส่วน รวมทั้งความรู้ในเรื่องของปาล์มน้ำมัน การแปรรูป และการเรียนรู้การสกัดปาล์มน้ำมัน ซึ่งนักศึกษาจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการผลิตเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน

นายเฉลิมศักดิ์ มีไพบูลย์สกุล อาจารย์ประจำแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ 

กล่าวว่า การผลิตเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน พร้อมเครื่องปรับปรุงคุณภาพน้ำมันปาล์ม คณะอาจารย์แผนกช่างยนต์ ได้รับแรงบันดาลใจพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสน พระทัยอย่างจริงจังเกี่ยวกับพลังงานทดแทนเพื่อให้ประเทศไทยและคนไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานทดแทน เพื่อจะให้ประชาชนทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ลดค่าใช้จ่ายจากภาวะราคาน้ำมันของโลกที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะการผลิตพลังงานทดแทนจากปาล์มน้ำมัน โดยได้ทำการคิดค้นตั้งแต่ปี 2551-2553 โดยได้รับงบประมาณในการประดิษฐ์คิดค้น จากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จำนวน 160,000 บาท จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)เป็นงบประมาณในการประดิษฐ์เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน จำนวน 80,000 บาท และการการประดิษฐ์เครื่องปรับปรุงคุณภาพน้ำมันปาล์ม จำนวน 80,000 บาท

การประดิษฐ์ชุดอุปกรณ์สกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กสำหรับครัวเรือน โดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่สูงเกินไป ซึ่งชุดอุปกรณ์ที่ใช้ในการประดิษฐ์หาซื้อได้ในท้องถิ่นทั่วไปราคาไม่แพง สามารถกลั่นน้ำมันปาล์มได้เองโดยไม่ยุ่งยาก ซึ่งทำให้เกษตรกรสามารถใช้สกัดน้ำมันปาล์มในครัวเรือนได้เอง สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ในการจัดการกับผลผลิตหรือต่อยอดผลิตภัณฑ์ จากที่ขายได้เฉพาะผลปาล์มสดเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กเพื่อการเกษตร นอกจากนั้นยังสามารถนำน้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรง น้ำมันที่ได้จาการกลั่นยังสามารถนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซลหรือจะพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคได้เอง เป็นอีกทางเลือกที่ทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน มีคุณสมบัติสามารถย่อยผลปาล์มที่ใช้วิธีการเพียงสับหยาบๆ และคัดแยกผลปาลืมออกจากกลีบช่องทะลายปาล์มได้ในเครื่องเดียวกัน สามารถกลั่นน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง นาทีละประมาณ 3 กิโลกรัมของผลปาล์มสด หรือชั่วโมงละ 180 กิโลกรัมผลปาล์มสด การสกัดสามารถแยกกากและเส้นใยปาล์มออกจากน้ำมันปาล์มได้เอง นอกจากนั้นยังสามารถเลือกใช้น้ำมันปาล์มดิบหรือน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มสำหรับครัวเรือน พร้อมเครื่องปรับปรุงคุณภาพน้ำมันปาล์ม มีราคาถูก

ตกเครื่องละประมาณ 60,000 – 70,000 บาท 

สามารถเลือกใช้น้ำมันปาล์มดิบหรือน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ได้ ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย ซ่อมบำรุงได้ง่าย เกษตรกรสามารถสกัดน้ำมันปาล์มได้เองโดยวิธีการที่ไม่ยุ่งยาก หาซื้ออุปกรณ์ในการซ่อมแซมตามท้องตลาดทั่วไป

วิธีการและกรรมวิธีในการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เริ่มจากการเก็บผลสุกปาล์มจากต้น นำมาสับให้ผลปาล์มหลดุจากทะลายปาล์มอย่างหยาบๆ สตาร์เครื่องยนต์ด้วยน้ำมันดีเซล 1 นาที แล้วเปลี่ยนวาล์ว ไปใช้น้ำมันปาล์มดิบ ( ก่อนดับเครื่อง 4 นาที ให้เปลี่ยนวาล์วกลับไปใช้น้ำมันดีเซลเพื่อล้างระบบปั๊มและหัวฉีด ) เทผลปาล์มที่สับแล้วลงในช่องด้านบนของเครื่องสกัดน้ำมันฯ
Read more ...

เครื่องบีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก

11/4/54
โดยส่วนส่งเสริมและพัฒนาวิจัย สำนักบริหารวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2553

อ.สมชาติ นนทะนาคร ผู้วิจัย โทร. 02 588 3667

มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดเครื่องบีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็กที่มีราคาถูกสำหรับเกษตรกรไว้ใช้ในครัวเรือน โดยมีขอบเขตงานวิจัยตั้งแต่การสกัดน้ำมันปาล์มดิบแล้วนำมาผสมกับน้ำมันดีเซล เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานกับเครื่องยนต์ได้ ชุดเครื่องบีบน้ำมันปาล์มที่ได้จากการวิจัยนี้ประกอบด้วยเครื่องต่าง ๆ ที่ต้องใช้ร่วมกันดังนี้

1. เครื่อง ฉีกแยกเปลือก เนื้อและเมล็ดปาล์มน้ำมัน
2. เครื่องย่อยเปลือกเนื้อปาล์มน้ำมัน
3. เครื่องบีบเนื้อปาล์มให้เป็นน้ำมัน
4. เครื่องสลัดเหวี่ยงแยกปาล์มน้ำมันชนิดไม่อิ่มตัว (CPOL) และชนิดอิ่มตัว (CPS)
5. เครื่องกรองน้ำมันปาล์มขนาด 5 ไมครอน

รวมระยะเวลาที่ใช้ในการประดิษฐ์ชุดเครื่องบีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก การทดลองบีบน้ำมันและการทดสอบเครื่องยนต์ทั้งหมดประมาณ 12 เดือน

การผสมน้ำมันปาล์มกับน้ำมันดีเซลใช้อัตราส่วน น้ำมันปาล์ม CPOL  100% 1 ลิตร ต่อน้ำมันดีเซล 1  ลิตร แล้วนำมาเข้าเครื่ีองสลัดเหวี่ยงแยกปาล์มน้ำมันอีกประมาณ 5 นาที เพื่อให้น้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันปาล์มชนิดไม่อิ่มตัว (CPOL) ได้ดีขึ้น แล้วนำไปผ่านเครื่องกรองน้ำมันปาล์มขนาด 5 ไมครอน

ผลการทดสอบการใช้กับรถยนต์ที่ระยะทาง 1,500  กิโลเมตร พบว่า สามารถใช้งานได้ตามปกติ
Read more ...

ปาล์มน้ำมัน ที่กุดข้่าวปุ้น จ.อุบลราชธานี

3/4/54
โดยไทยทีวีทูเดย์ เมื่อ 26 ก.พ.2554

นายแหล่ คำพรม เจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน ภาคอีสาน บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี

บนพื้นที่ 32 ไร่ ปลูกมา 4 ปี ปีที่ห้าให้ผลผลิตทุกสิบห้าวัน ทำให้คุณภาพชีวิตของ คุณแหล่ คำพรม ดีขึ้นสามารถปลดหนี้ได้ในระยะสั้น ถือได้ว่านายแหล่ คำพรมน่าจะเป็นเกษตรกรตัวอย่างที่ไทยทูเดย์ทีวี สมควรนำเสนออย่างต่อเนื่อง

ซื้อต้นพันธ์มาราคา 85 บาท 
Read more ...

ระบบน้ำหยดแบบใช้ท่อจิ๋วเป็นหัวน้ำหยด ในการปลูกแตง

25/2/54
ระบบน้ำหยดแบบใช้ท่อจ๋ิวเป็นหัวน้ำหยด ในการปลูกแตง

ตามที่ลุงพูล เสนอมา

วิธีีการทำดังนี้

1.วางท่อย่อย(ท่อ PE ขนาด 20 มม.) ตามแนวหลุมแตง

2.ตัดท่อจิ๋ว(ท่อพีอี ขนาดรู 1-1.5 มม.) ยาว เส้นละ 30-50 ซม. เป็นหัวน้ำหยด

3.เจาะรูที่ท่อย่อย ตามระยะหลุมแตงที่ปลูก ขนาดพอเสียบท่อจิ๋วลงไปได้

4.เสียบท่อจิ๋วที่เตรียมไว้ ที่รูท่อย่อย

5.ใช้ฝาโค๊กเจาะรูเสียบปลายท่อจิ๋ว ใช้ลวดผูกฝาโค๊กเป็นขาปักลงดิน เพื่อ

บังคับให้ปลายหยดอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ

6.แหล่งน้ำ เพราะเป็นเรื่องทำให้น้ำรั่วจากท่อ ดังนั้นเราสามารถ นำถัง

ขนาด 100-200 ลิตร วางที่หัวแปลงสูงจากพื้นเพียง 1 ฟุต ก็พอ

ใส่น้ำตามที่ต้องการ

เมื่อเปิดประตูน้ำ น้ำจะรั่วออกตามรูท่อย่อย ไหลไปตามท่อจิ๋ว

ซึมลงดินที่โคนต้น น้ำจะไหลเป็นหยดจนหมดถัง ปรับให้น้ำหมดภายใน 4-6 ชั่วโมง

***ข้อสำคัญที่สุด คือ น้ำต้องไม่มีตะกอน มิฉะนั้นจะทำให้เกิดอุดตันที่ท่อจิ๋ว น้ำจะไม่ไหล****

***วิธีนี้เราสามารถละลายปุ๋ยปนลงไปกัยน้ำได้เลย***

รายละเอียดมีมากมาย สนใจถามได้ตลอดเวลา ภาพที่เห็นได้จากภาคปฏิบัติของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
Read more ...

การให้น้ำแบบเฉพาะจุด (LOCAUZE IRRIGATION)

25/2/54
การให้น้ำแบบเฉพาะจุด 

เป็นการให้น้ำแก่พืชที่จุดใด้จุดหนึ่งหรือหลายๆ จุดบนผิวดินหรือใน เขตรากพืช โดยอัตราของน้ำที่ให้นั้นไม่มากพอที่จุทำให้ดินในเขตรากพืชเปียกชุ่มเป็นบริเวณกว้าง ปกติแล้วผิวดินจะเปียกแต่ตรงจุดที่ให้น้ำเท่านั้นน้ำที่ให้แก่พืชอาจจุอยู่ในรูปของเม็ดน้ำเล็กๆ ซึ่งฉีดจากหัวฉีดขนาดเล็กที่ต้องการแรงดันไม่มากนัก เรียกว่า แบบมินิสปริงเกลอร์ หรือเป็นหยดน้ำเล็กๆ ที่ไหลจากหัวน้ำหยดหรือท่อพลาสติกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน ๑ ถึง ๒ มิลลิเมตร เรียกว่าแบบน้ำหยด 

หัวฉีดหรือท่อพลาสติกนี้จะวางในบริเวณโคนต้นพืช โดยมีท่อพลาสติกหรือสายยางขนาดใหญ่เป็นท่อจ่ายน้ำ ซึ่งนำน้ำจากท่อประธานอีกทีหนึ่ง จำนวนหัวฉีดหรือท่อพลาสติกจะขึ้นอยู่กับความต้องการน้ำ ของพืช และเนื่องจากจำนวนของท่อหรือหัวฉีดซึ่งทำหน้าที่จ่ายน้ำมีขนาดเล็กมาก น้ำที่ใช้จึงต้องปราศ จากตะกอนที่มาอุดตันในท่อพลาสติกหรือหัวฉีด บางครั้งจะต้องให้น้ำผ่านเครื่องกรองตะกอนเสียก่อน

การเลือกใช้การให้น้ำแบบเฉพาะจุด
การให้น้ำแบบนี่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ที่มีน้อยอย่างจำกัดหรือมีราคาแพงมาก ดินที่เหมาะกับการให้น้ำแบบนี้ โดยเฉพาะน้ำหยดควรจะเป็นดินที่มีเนื้อละเอียดจนถึงค่อนข้าง หยาบ เพราะเป็นดินที่มีการไหลซึมทางด้านข้างที่ดี ดินที่มีความโปร่งมากจะทำให้ความชื้นในดิน แผ่นกระจายไปไม่ทั่วเขตรากพืช ถ้าเป็นดินที่มีการไหลซึมทางด้านข้างดีแล้วน้ำจะแผ่กระจายได้ดี ซึ่งเป็นผลให้สามารถลด จำนวนหัวจ่ายน้ำลงได้ เนื่องจากว่าการให้น้ำแบบนี้มีระยะการให้น้ำยาวนาน แต่ไม่ทำให้ดินเปียกชุ่มเป็นบริเวณกว้าง จึงเหมาะอย่างยิ่ง

สำหรับพืชที่มีรากตื้นและต้องการให้ดินมีความชื้นสูงอยู่แบบนี้ใช้ได้ดีกับพืช ยืนต้นเหมือนกัน แต่เนื่องจากการลงทุนครั้งแรกค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จึงเลือกใช้กับพืชที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ไม้ผลต่าง ๆ เป็นต้น
อุปกรณ์ที่สำคัญในระบบการให้น้ำแบบเฉพาะจุด คือ
๑. เครื่องสูบน้ำ (Pumping Unit) 

จะทำหน้าที่สูบน้ำจากแหล่งน้ำและเพิ่มความดันของน้ำ แล้วส่งไปตามท่อจ่ายน้ำ เครื่องสูบน้ำอาจจะเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าก็ได้
๒. เครื่องกรองน้ำ (Filter) 

จะทำหน้าที่กรองเอาเศษวัชพืช ใบไม้เมล็ดพืชและทราย ออกจากน้ำ ถ้าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ผ่านไปจะทำให้หัวจ่ายน้ำเกิดการอุดตัน เป็นสาเหตุให้ต้นไม้ขาดน้ำเกิดชะงักการเจริญเติบโตถ้าเกิดขึ้นในช่วงที่ออกดอกหรือการให้ผลจะ ทำให้ดอกหรือผลร่วงเกิดความเสียหาย
๓. หัวจ่ายน้ำ (Sprinkler Unit) 

ทำหน้าที่จ่ายน้ำในลักษณะหยดหรือฉีดออกมาเป็นฝอยละออง
๔. ท่อประธาน (Mainline Pipe Unit) 

ทำหน้าที่ส่งน้ำจากเครื่อง-สูบน้ำไปสูบท่อแยก ท่อประธานอาจจะเป็นท่อพลาสติกหรือท่อโลหะก็ได้
๕. ท่อย่อย (Lateral Pipe Unit) 

ทำหน้าที่จ่ายน้ำจากท่อประธานให้กับหัวจ่ายน้ำ ท่อย่อยอาจจะเป็นชนิดเดียวกับท่อประธานแต่มีขนาดเล็กกว่าและมีอุปกรณ์หัวจ่ายติดตั้งบนท่อ เพื่อจ่ายน้ำให้กับต้นพืช

ข้อดีของระบบการให้น้ำแบบเฉพาะจุด
๑. ประสิทธิภาพการให้น้ำสูงมาก เพราะว่าสามารถควบคุมน้ำได้ทุกขั้นตอน และมีการสูญเสีย โดยการระเหยน้อย
๒. ค่าใช้จ่ายในการให้น้ำน้อยเพราะไม่ต้องใช้แรงงานในการให้น้ำมาก
๓. สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีอื่นๆ แก่พืชพร้อมๆ กับการให้น้ำได้ด้วย ดดยการผสมปุ๋ยหรือ สารเคมีเข้ากับน้ำทางท่อดูดของเครื่องสูบน้ำเข้าไปในระบบ
๔. ไม่มีปัญหาโรคพืชหรือแมลงที่เกี่ยวเนื่องจากการเปียกชื้นของใบ
๕. ลดปัญหาของการแพร่กระจายของวัชพืชเนื่องจากน้ำที่ให้พืชจะเปียกผิวดินเป็นบริเวณแคบๆ เท่านั้น
๖. ไม่มีปัญหาเรื่องลมแรงที่จะพัดพาน้ำไปตกที่อื่น
๗. ไม่ต้องใช้ระบบส่งน้ำขนาดใหญ่หรือเครื่องสูบน้ำที่มีแรงดันสูง
๘. เนื่องการให้ปุ๋ยและสารเคมีโดยการผสมลงไปกับน้ำ ดังนั้นค่าใช้จ่ายสำหรับปุ๋ยและสารเคมี ก็จะลดลงด้วย
๙. ระบบกาครให้น้ำแบบน้ำจะมีระยเวลาการใช้งานที่ยาวนานยกเว้นเรื่องการอุดตันของหัวจ่าย น้ำ
๑๐. สามารถทำการติดตั้งการให้น้ำแบบอัตโนมัติได้ไม่ยาก เช่น ให้น้ำตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ หรือให้น้ำเมื่อความชื้นของดินในเขตราบลดลงถึงระดับหนึ่งเป็นต้น
๑๑. ไม่มีปัญหาเรื่องอัตราการซึมของน้ำเข้าไปในดิน เพราะอัตราการให้น้ำจะไม่มากพอที่จะ ทำให้ดินเปียกชุ่มเป็นบริเวณกว้างอยู่แล้ว
๑๒. เนื่องจากปริมาณน้ำที่ให้และที่สูญเสียไปโดยการระเหยน้อยดังนั้นการสะสมของเกลือที่ ติดมากับน้ำในเขตรากพืชจึงไม่มาก
ข้อเสียของระบบการให้น้ำแบบเฉพาะจุด
๑. มีปัญหาเรื่องอุดตันที่หัวจ่ายน้ำมากเนื่องมาจากตะกอนทรายตะไคร่น้ำ หรือเนื่องมาจากการ สะสมตัวของสารเคมีในน้ำ
๒. เนื่องจากบริเวณที่เปียกชื้นไม่กว้างขวางนัก ความเข้มข้นของเกลือซึ่งมักจะเกิดขึ้นในบริเวณ รอบนอกของส่วนที่เปียกชื้นจึงมักจะสูงและอาจจะเป็นอันตรายต่อพืชได้
๓. สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีอื่นๆ แก่พืชพร้อมๆ กับการให้น้ำได้ด้วย โดยการผสมปุ๋ยหรือ เคมีเข้ากับน้ำทางท่อดูดของเครื่องสูบน้ำเข้าไปในระบบ
๔. ค่าลงทุนครั้งแรกค่อนข้างสูงเพราะจะต้องมีอุปกรณ์หลายอย่าง
การที่จะพิจารณาที่นำระบบการให้น้ำแบบประหยัดมาใช้ ควรจะมีการพิจารณาดังนี้
๑. เมื่อมีการให้น้ำแล้ว ปริมาณและคุณภาพของผลผลิตจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดคุ้มค่า หรือไม่
๒. ราคาของผลผลิตนั้นคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่กับการที่จะลงทุนติดตั้งระบบการ ให้น้ำพืช
๓. จะต้องแน่ใจแล้วว่า แหล่งน้ำที่มีอยู่นั้นมีเพียงพอกับการให้น้ำตลอดฤดูกาลเพาะปลูก
ถ้าเกษตรกรท่านใดยังมีข้อสงสัยหรือมีความสนใจให้ติดต่อมายัง 

กลุ่มงานจักรกล การเกษตร สถาบันพัฒนาและส่งเสริมปัจจัยการผลิต 
กรมส่งเสริมการเกษตร บางเขน กทม. ๑๐๙๐๐ 
โทร ๕๗๙๓๙๑๖, ๕๗๙๑๔๐๔
ศึกษาเพิ่มเติมที่เวปhttp://www.doae.go.th/library/html/detail/KUmagazine/february_44/upakon/water.htm
Read more ...

เทคโนโลยีระบบน้ำหยด

25/2/54
ระบบน้ำหยด เป็นเทคโนโลยีการชลประทานวิธีหนึ่งในหลายวิธี เป็นการให้น้ำแก่พืช โดยการส่งน้ำผ่านระบบท่อและปล่อยน้ำออกทางหัวน้ำหยด ซึ่งติดตั้งไว้บริเวณโคนต้นพืช น้ำจะหยดซึมลงมาบริเวณรากช้า ๆ สม่ำเสมอในอัตรา 4-20 ลิตร ต่อชั่วโมง ที่แรงดัน 5-25 PSI ขึ้นอยู่กับระบบ ชนิดพืช ขนาดพื้นที่ และชนิดของดิน ทำให้ดินมีความชื้นคงที่ในระดับที่พืชต้องการและเหมาะสมตลอดเวลา ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ444

ข้อดีของน้ำหยดมีหลายประการ

1. ประหยัดน้ำมากกว่าทุก ๆ วิธี ไม่ว่ารดด้วยมือหรือใช้สปริงเกลอร์ หรือวิธีอื่นใดก็ตามและแก้ปัญหาภาวะวิกฤตการขาดแคลนน้ำในบางฤดูซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในปัจจุบัน

2. ประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการ กล่าวคือ ลงทุนครั้งเดียวแต่ให้ผลคุ้มค่าในระยะยาว การติดตั้งอุปกรณ์ไม่ยุ่งยาก ติดตั้งครั้งเดียวและใช้งานได้ตลอดอายุ สามารถควบคุมการ เปิด-ปิดน้ำ โดยใช้ระบบ manual และ automatic หรือ micro controler โดยเฉพาะระบบตั้งเวลาและตรวจจับความชื้นทำให้ประหยัดค่าแรง มีรายงานการใช้แรงงานดูแลและบำรุงรักษาระบบในแปลงองุ่นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ พบว่า ใช้แรงงาน 1 แรง ต่อพื้นที่ 50 เอเคอร์ (100 ไร่) ต่อวัน

3. ใช้ได้กับพื้นที่ทุกประเภทไม่ว่าดินร่วน ดินทราย หรือดินเหนียว รวมทั้งดินเค็มและดินด่าง น้ำหยดและไม่ละลายเกลือมาตกค้างอยู่ที่ผิวดินบน

4. สามารถใช้กับพืชประเภทต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นพืชที่ต้องการน้ำขัง

5. เหมาะสำหรับพื้นที่ขาดแคลนน้ำ ต้องการใช้น้ำอย่างประหยัด

6. ให้ประสิทธิภาพในการใช้น้ำสูงที่สุด 75-95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้มีการสูญเสียน้ำน้อยที่สุด และเมื่อเทียบกับการปล่อยน้ำท่วมขัง มีประสิทธิภาพเพียง 25-50 เปอร์เซ็นต์ ในระบบสปริงเกลอร์ แบบติดตายตัวมีประสิทธิภาพ 70-80 เปอร์เซ็นต์ และในระบบสปริงเกลอร์แบบเคลื่อนย้ายมีประสิทธิภาพ 65-75 เปอร์เซ็นต์ ประหยัดเวลาทำงาน ไม่ต้องคอยเฝ้า ใช้เวลาไปทำอย่างอื่นได้เต็มที่ ไปพร้อม ๆ กับการใช้น้ำ

7. ประหยัดเวลาทำงาน ไม่ต้องคอยเฝ้า ใช้เวลาไปทำงานอย่างอื่นได้เต็มที่ไปพร้อม ๆ กับการให้น้ำ

8. ลดการระบาดของศัตรูพืชบางชนิดได้ดี เช่น โรคพืช และวัชพืช

9. ได้ผลผลิตสูงกว่าการใช้ระบบชลประทานแบบอื่น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ประหยัดต้นทุนน้ำ ทำให้มีกำไรสูงกว่า

10. ระบบน้ำหยด สามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีอื่นละลายไปกับน้ำพร้อม ๆ กันทำให้ไม่ต้องเสียเวลาใส่ปุ๋ย พ่นยาอีก ทั้งนี้ต้องติดตั้งอุปกรณ์จ่ายปุ๋ย (injector) เข้ากับระบบ

ระบบน้ำหยดเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับเกษตรไทยจึงมีข้อจำกัดอยู่

ต้องใช้ต้นทุนสูงในระยะแรก การติดตั้งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ และเกษตรกรจะต้องมีความรู้ปริมาณการใช้น้ำของพืชแต่ละชนิดที่ปลูก เช่น มะเขือเทศ ต้องการปริมาณน้ำประมาณ 40 มิลลิเมตร/ไร่/วัน หรือประมาณ 1.5 ลิตร/ต้น/วัน เป็นต้น นอกจากนี้ เกษตรกรต้องมีการค้นคว้าหาแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบติดตั้ง และบริหารระบบ จะต้องคำนึงถึงการจัดการระบบ เช่น ระยะเวลาให้น้ำ การใช้ปุ๋ย ชนิดปุ๋ย ตลอดจนต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ พืชจึงจะได้ปุ๋ย หรือสารเคมี ใช้อย่างพอทุกช่วงการเจริญเติบโต

การบริหารระบบน้ำหยดให้ได้ผลสูงสุด มี 3 ประการ

1. การให้น้ำปริมาณที่เหมาะสม กับความต้องการของพืชแต่ละชนิด

2. การให้ปุ๋ยปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งจะละลายผ่านเข้าสู่ระบบ

3. การวางแผนการบำรุงรักษาระบบ

อุปกรณ์จ่ายปุ๋ยในระบบน้ำหยด คืออะไร

อุปกรณ์จ่ายปุ๋ยในระบบน้ำหยด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มเติม จุดหนึ่งของระบบน้ำหยด ทำหน้าที่ช่วยดูดสารละลายปุ๋ยเข้าสู่ระบบ น้ำกับปุ๋ยจะละลายปนกันไปจ่ายออกทางหัวน้ำหยด ปัจจุบันอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยที่มีจำหน่ายเป็นของต่างประเทศ นำเข้ามาใช้กันอยู่บ้างแต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากมีราคาแพงมาก ซึ่งถ้าเป็นเกษตรกรรายย่อยทั่วไป ไม่สามารถหาซื้อมาใช้ในการเพาะปลูกเพราะไม่เหมาะกับการลงทุนและมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะถ้ามีการอุดตันในช่องดูดปุ๋ยจะทำความสะอาดได้ยาก เนื่องจากช่องดูดปุ๋ยมีลักษณะเป็นช่องแบนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบ ๆ นอกจากนี้การผลิต ต้องใช้ระบบการหลอมและขึ้นรูปพลาสติกในระบบโรงงานเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถใช้วัสดุและภูมิปัญญาในท้องถิ่นทำได้ หรือถ้าทำได้ก็ต้องออกแบบใหม่หรือทำเลียนแบบ ซึ่งอาจมีความผิด ฐานละเมิดสิทธิบัตร

วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์อุปกรณ์จ่ายปุ๋ย ในระบบน้ำหยดในครั้งนี้ นอกจากเพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสได้ใช้ของมีราคาถูก โดยได้ออกแบบและประดิษฐ์ไม่ซ้ำแบบของต่างประเทศในขนาดเดียวกัน พบว่ามีราคาถูกกว่าของต่างประเทศกว่า 10 เท่าตัว มีประสิทธิภาพการใช้งานดีกว่าคือ อุดตันได้ยากกว่า แต่ใช้หลักการทำงานแบบเดียวกัน กล่าวคือ เป็นระบบ venturi tube ซึ่งง่ายต่อการติดตั้งและใช้งานโดยเฉพาะอุปกรณ์นี้ สามารถผลิตได้โดยใช้วัสดุและเครื่องมืออุตสาหกรรมขนาดเล็กที่มีอยู่ในท้องถิ่น หรือสามารถหลอมขึ้นรูปพลาสติกให้เป็นชิ้นเดียวกันในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางก็ได้ ซึ่งราคาไม่รวมเครื่องปั๊มน้ำ ประมาณไม่เกิน 100 บาท หรือแพงกว่านี้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้

ลักษณะทั่วไปของอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยในระบบน้ำหยดที่ประดิษฐ์ มีลักษณะที่เป็นท่อ 2 ส่วน คือท่อหลักกับท่อแยก ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้เชื่อมต่อกันตรงกลางคล้ายท่อสามทาง

ท่อหลัก มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลวงใน บริเวณตอนกลางท่อภายในจะมีผนังหนาและมีรูคอคอดขนาดเล็กทะลุถึงกัน ผนังคอคอดด้านเข้า มีลักษณะเป็นกรวยสอบเข้าหารู ส่วนทางด้านน้ำออกผนังภายในตัดตรงตั้งฉากกับผิวเท่ารูคอคอด มีลักษณะเป็นรูกลม ขนาดเท่ากันตลอด

ส่วนที่ 2 คือ ท่อแยก เป็นท่อสั้นและมีขนาดเล็กกว่าท่อหลัก วางตั้งฉากติดกับท่อหลัก ภายในมีรูคอคอดเช่นกัน จุดเชื่อมของรูคอคอดภายในระหว่าง 2 ท่อนี้ ทำมุม a ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของท่อแยกนี้ใช้ต่อกับท่อพลาสติก ทำหน้าที่ดูดสารละลายปุ๋ยเข้าไป ในรูคอคอดของท่อหลักผสมกับน้ำส่งออกไปยังหัวน้ำหยดต่อไป

หลักการทำงานของอุปกรณ์จ่ายปุ๋ย

การให้ปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยด โดยใช้อุปกรณ์จ่ายปุ๋ย มีหน้าที่ดูดปุ๋ยที่เป็นสารละลายเข้าไปในระบบท่อโดยไม่ต้องใช้ปั๊มเครื่องยนต์กลไกที่เคลื่อนไหวจากไฟฟ้าหรือน้ำมันให้สิ้นเปลือง แต่เป็นการใช้พลังงานจากมวลและความเร็วของน้ำที่อยู่ในท่อนั่นเอง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ของธรรมชาติที่มีทั้งพลังงานศักย์ พลังงานจลน์ และแรงดันของน้ำภายในท่ออุปกรณ์จ่ายปุ๋ยระบบน้ำหยด ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ ประเภทท่อที่มีช่องคอคอด ซึ่งไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว และประเภทที่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวคือ มีลูกสูบเคลื่อนที่ด้วยพลังน้ำ หรือเป็นชนิดใช้ไฟฟ้า สำหรับประเภท venturi tube ทำงานโดยอาศัยหลักการของ Daniel Bernoulli ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้ตั้ง โดยให้นิยามว่า เมื่อของเหลวหรือก๊าซ เคลื่อนที่เร็วขึ้นความดันจะลดลง หรือเมื่อความเร็วลดลงความดันของมันจะเพิ่มขึ้น ผลงานของ Bernoulli ที่นำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ระบบคาร์บูเรเตอร์ในรถยนต์ ระบบปั๊มสุญญากาศ ระบบลูกยางสเปรย์น้ำหอม และระบบท่อ venturi ของเครื่องจ่ายปุ๋ยในระบบน้ำหยด เป็นต้น

การติดตั้งอุปกรณ์จ่ายปุ๋ย

เนื่องจากอุปกรณ์จ่ายปุ๋ย venturi มีลักษณะเป็นท่อ คล้ายข้อต่อสามทางในระบบท่อชนิดโลหะหรือ ท่อ PVC ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในแปลงเกษตร เพียงแต่เลือกใช้ข้อต่อระหว่างสองปลายให้เหมาะสมกับรุ่น กล่าวคือ ใช้ข้อต่อชนิดเกลียวนอก เกลียวใน หรือเป็นหน้าแปลนยึดด้วยตัวสลักเกลียวเหมือนการต่อท่อตามปกติเพียงแต่เพิ่มข้องอเพื่อต่อเป็นท่อแยกขนานออกมาต่างหาก ติดตั้งวาล์วควบคุมการไหลของน้ำผ่านอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยโดยใช้ประตูน้ำที่ท่อแยก 2 ตัว และที่ท่อส่งน้ำหลัก 1 ตัว อุปกรณ์จ่ายปุ๋ยควรติดตั้งให้อยู่ระดับความสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร มีบริเวณพื้นที่ส่วนหนึ่งเพียงพอสำหรับวางทับหรือภาชนะใส่สารละลายปุ๋ย และสะดวกต่อการใช้ท่อยางสำหรับดูดปุ๋ยจุ่มแช่ในภาชนะ

อย่างไรก็ตาม การติดตั้งอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยในระบบน้ำหยดเป็นเทคโนโลยีการให้น้ำพืชแบบใหม่ กล่าวคือ เมื่อติดตั้งระบบน้ำหยดแล้วควรเพิ่มอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยเข้าไปด้วย จึงถือว่าครบระบบ

ประโยชน์ของอุปกรณ์จ่ายปุ๋ย

1. การให้ปุ๋ยไปพร้อม ๆ กันกับน้ำหยดจะทำให้พืชเจริญเติบโตสม่ำเสมอ และควบคุมการให้ผลผลิตนอกฤดูกาลได้

2. ประหยัดปุ๋ยกว่าวิธีอื่น เพราะมีการคำนวณหาค่าความเข้มข้น ค่าเฉลี่ย/ต้น/ปริมาณน้ำ พืชจะได้รับปุ๋ยและน้ำพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่เกิดการสูญเสีย

3. พืชจะได้รับอาหารและแร่ธาตุสม่ำเสมอตามความต้องการในแต่ละช่วงอายุ ที่ละลายน้ำ พืชดูดไปใช้ได้ทันที

4. ประหยัดแรงงานในการให้ปุ๋ย ขนปุ๋ย หว่านปุ๋ย และใช้ได้สะดวกแม้อยู่ในหน้าฝน

5. สามารถให้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช อาหารเสริมต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ ชนิดน้ำเข้าในระบบได้อย่างสะดวก

6. ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ลดการระบาดของโรคพืช วัชพืช ลดต้นทุน ลดการปนเปื้อนของสารเคมี

รับปรึกษาการวางระบบน้ำหยดฟรี ติดต่อคุณอำนวย โทร.089-1777260
Read more ...

การอบรมออกแบบระบบน้ำหยดสำหรับสวนขนาดเล็ก ที่ราชมงคล ธัญบุรี

25/2/54
คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

จัดอบรมโครงการบริหารวิชาการ

ขอเชิญเข้าร่วมโครงการอบรมฟรี

1.โครงการออกแบบระบบน้ำหยดสำหรับสวนขนาดเล็ก วันที่ 27 มีนาคม 2554

2.โครงการการทำน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพ (EM) วันที่ 20 เมษายน 2554

ท่านผู้สนใจสามารถติดต่อลงทะเบียนได้ที่ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์

โทร 02-5493579-80 FAX ; 02-5493581

* หมายเหตุ เข้ารับการฝึกอบรมฟรีทุกโครงการ รับจำนวนจำกัด *
Read more ...

ระบบน้ำหยดแบบอิสราเอล

25/2/54
Read more ...

ระบบน้ำหยดสวนกาแฟ

25/2/54
เมื่อปี 2550

ต้นทุนม้วนละ 2500 บาท:100 เมตร 

หัวน้ำหยดประมาณ 3 บาท 

ตกไร่ละไม่เกิน 4-5000 บาทเท่านั้น

หัวน้ำหยดนี่สามารถปรับระดับการใช้น้ำได้ตามความต้องการ จะปรับให้หยดบ่อยหรือนานๆ หยดทีก็แค่หมุนที่จานเท่านั้น

ที่เรายกท่อน้ำเหนือพื้นดินประมาณศอกหนึ่ง แทนที่จะวางราบไปกับพื้นดิน ก็เพื่อป้องกันปัญหาท่อเสียหายเวลาตัดหญ้าไงครับ

อายุการใช้งานน่าจะประมาณ 4-5 ปีเท่านั้น 

แต่สามารถประหยัดน้ำ และต้นทุนทั้งค่าของค่าแรงมากทีเดียว

เวลาที่ทรงพุ่มขยายขึ้นเมื่อต้นกาแฟมีอายุมากขึ้น ก็เพียงแค่เพิ่มหัวจ่ายน้ำเท่านั้น
Read more ...

การศึกษาผลการให้น้ำระบบน้ำหยด ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของคะน้ายอด

25/2/54
การศึกษาระบบน้ำหยด เปรียบเทียบอัตราการไหลของหัวหยด ที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ของคะน้ายอด โดยวิธีการให้น้ำ ในอัตราต่างกัน 4 วิธีกาาร คือ

วิธีการที่ 1 (tr1) รดน้ำด้วยบัว 2 บัวต่อแปลงต่อวัน


วิธีการที่ 2 (tr2) อัตราการไหลของหัวหยด 2 ลิตรต่อวันต่อต้น


วิธีการที่ 3 (tr3) อัตราการไหลของหัวหยด 3 ลิตรต่อวันต่อต้น


วิธีการที่ 4 (tr4) อัตราการไหลของหัวหยด 4 ลิตรต่อวันต่อต้น

โดยทำการทดลองแบบ RCB (Randomized complete Block Design) เริ่มจากการเพาะเมล็ด ในแปลงทดลอง พร้อมๆกับการติดตั้ง ระบบน้ำหยด เพื่อให้น้ำ โดยระบบน้ำหยดในอัตราต่างๆกัน แล้วทำการวัดผลทุก 7 วัน จนครบ 7 ครั้ง รวมเวลาในการทดลอง 49 วัน

ที่แปลงทดลอง ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง

จากการทดลองพบว่า อัตรากาารไหลของหัวหยด ในระบบน้ำหยด ที่มีผลต่อ การเจริญเติบโตของคะน้า ที่ดีที่สุด คือ หัวหยดที่มีอัตราการไหล ของน้ำ 4 ลิตรต่อวันต่อต้น โดยให้ผลตอบสนอง คิดเป็นค่าเฉลี่ย ในด้านความสูงของต้นเท่ากับ 14.20 เซนติเมตร จำนวนใบเท่ากับ 7.23 ใบ น้ำหนักสดเท่ากับ 154.95 กรัม และน้ำหนักแห้งเท่ากับ 13.65 กรัม

ส่วนทางด้านขนาดใบที่ 1 และขนาดใบที่ 3 ได้ค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 55.21 และ 119.61 ตารางเซนติเมตร ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 60.51 (tr3) และ 128.87 (tr1) ตารางเซนติเมตร ตามลำดับ

สำหรับทางด้านขนาดใบที่ 2 ได้ค่าเฉลี่ยจัดอยู่ใน อันดับที่ 3 คือเท่ากับ 97.56 ตารางเซนติเมตร

เมื่อเปรียบเทียบ กับค่าเฉลี่ยสูงสุด 105.02 ตารางเซนติเมตร (tr2) และค่าเฉลี่ยต่ำสุด 94.38 ตารางเซนติเมตร (tr3) และสำหรับปริมาณไนโตรเจน วิธีการนี้ให้ค่าเฉลี่ย อยู่ในอันดับที่ 2 รองจากวิธีการที่ 3 คือ ให้ค่าเฉลี่ย 0.31 เปอร์เซนต์

ขณะที่วิธีการที่ 3 ให้ค่าเฉลี่ย 0.32 เปอร์เซนต์ แต่ไม่มีความแตกต่างกัน ทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 99% ไม่ว่าจะเป็นขนาดใบ ที่ 1, 2 และ 3 หรือปริมาณไนโตรเจน ในคะน้า

ดังนั้นอัตราการไหลของหัวหยด ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของคะน้า คือ 4 ลิตร ต่อวันต่อต้น
Read more ...

ความจริงของการดูแลจัดการสวนปาล์มน้ำมัน

23/2/54
เมื่อ 22 ก.พ.2554

เมื่อกล่าวถึงปาล์มน้ำมันเกษตรกรส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับพันธุ์ปาล์มน้ำมันมากกว่าการจัดการสวน พื้นปลูก มุ่งเน้นไปที่พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอรา ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไร เมื่อปลูกแล้วไม่เคยเอาใจใส่หรือเข้าสวนเลยสักครั้ง ลองคิดดูแล้วกันว่าจะได้ผลดีหรือไม่ ความเป็นจริงของการดูแลจัดการสวนปาล์มน้ำมันนั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนลงมือปลูกด้วยซ้ำ ซึ่งพอกล่าวได้ต่อไปนี้

1. ปรับสภาพพื้นที่ให้พร้อมที่จะปลูกปาล์มน้ำมัน กล่าวหยาบๆ คือทำไงก็ได้ให้ระดับน้ำต่ำกว่าระดับผิวดินอย่างน้อย 50 เซนติเมตร แต่ไม่ควรเกิน 1 เมตร

2. วางระยะปลูกให้เหมาะสม ทุกวันนี้แนะนำส่งเสริมกันอย่างตะพึดตะพือว่า ระหว่างต้นต้อง 9 เมตร บางที่น้อยกว่า 9 เมตรด้วยซ้ำ เท่าที่ลงแปลงส่งเสริมแนะนำเกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมันในหลายพื้นที่พบว่ามีปัญหาดังกล่าวทุกสายพันธุ์ เนื่องจากระยะห่างน้อยเกินไปทำให้ทางใบสานกัน ต้นสูงเร็วเกินไป ส่งผลให้ผลิตน้อยกว่าปกติ กระทั่งปาล์มทางสั้นที่แนะนำให้ปลูกใน 9 เมตรก็ตาม อย่าลืมว่าปาล์มน้ำมันที่เจริญเติบโตเต็มที่ ทางใบยาวเต็มที่ ทะลายใหญ่เต็มที่ อย่างเร็วปลูกไปแล้ว 6 ปี ปัญหาก็คือ 4 ปีแรก ทางใบจะดูสั้นๆ ซึ่งจะเกิดกับทุกพันธุ์กว่าจะรู้ตัวว่าปลูกชิดก็เข้าปีที่ 6 ยิ่งเกษตรกรเจ้าของสวนไม่เอาใจใส่ยิ่งไม่มีทางรู้เลย ระยะเวลา 9 -10 ปีแทบไม่มีทะลายให้เชยชมเลย นี่คือความเป็นจริงในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยที่ไม่มีใครกล่าวถึง

อยากแนะนำว่าควรปลูกระยะที่ 10เมตร ดินดีอาจต้องเพิ่มระยะห่างออกไปถึง 13 เมตร เคยมีบางหน่วยงานบางบริษัททดลองปลูกปาล์มในระยะ 9 เมตร เทียบกับกับระยะ 10 เมตร ในสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน ดูแลจัดการเหมือนกัน อายุปาล์ม 6 ปีขึ้นไป เนื้อที่ปลูกเท่ากันตัดผลผลิตได้เท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ระยะปลูก 10 เมตร ใส่ปุ๋ยต่อไร่น้อยกว่า ดูแลต้นน้อยกว่า แต่งทางน้อยกว่า และเมื่อต้นปาล์มอายุ 10 ปีนับจากวันลงปลูก ส่วนสูงต่างกัน ประมาณ 1-1.5 เมตร นั่นแปลว่าแปลงที่ปลูกระยะ 9 เมตร ต้องโค่นก่อนแน่นอน

3. การปรับสภาพดินให้มีความเหมาะสม มีชีวิตมีจุลินทรีย์ ด้วยการใช้ปุ๋ยคอก(มูลโค มูลไก่ มูลสุกร) หรือปุ๋ยหมักร่วมกับพูมิชซัลเฟอร์ เนื่องจากเป็นหินแร่ภูเขาไฟ มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงสภาพดินที่เสื่อมโทรมให้มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืช สามารถปลดปล่อย เคลื่อนย้าย เพิ่มธาตุอาหารในดินที่มีประโยชน์ให้ต้นพืชได้อย่างสมดุล ซึ่งอุดมไปด้วยธาตุอาหารพืชต่างๆ ต่อไปนี้

- ซิลิซิค แอซิค ( H4SiO4) : ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เซลล์พืช ลดการเข้าทำลายของแมลง ไร รา ศัตรูโรค * หากกรณีใส่ทางดิน ช่วยเพิ่มซิลิก้าในดิน ตรึงสารพิษไม่ให้เป็นอันตรายต่อพืช และช่วยอุ้มน้ำป้องกันดินแห้ง

- แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3 ) : ช่วยในการแบ่งเซลล์ที่ปลายรากและยอด ช่วยสร้างโครงสร้างของโครโมโซม ช่วยในการทำงานของเอนไซม์และธาตุบางธาตุ ช่วยลดความเป็นพิษจากสารพิษต่าง ๆ ช่วยในการงอกและการเจริญเติบโตของละอองเกสรตัวผู้ (pollen)

- แมกนีเซียมคาร์บอเนต (MgCO3 ) : เป็นสารประกอบของคลอโรฟิลล์ เอนไซม์ ช่วยสร้างเม็ดสี (pigments) และสารสีเขียว ช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำตาลในพืชร่วมกับกำมะถันในการสังเคราะห์น้ำมัน ดูดซับฟอสฟอรัสและควบคุมปริมาณแคลเซียมในพืช

- ฟอสฟอริก แอซิค ( H2PO4- ): ช่วยในการสังเคราะห์แสง สร้างแป้งน้ำตาล ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากทำให้ลำต้นแข็งแรงไม่ล้มง่ายและต้านทานโรค ช่วยให้พืชแก่เร็ว ช่วยในการสร้างดอกและเมล็ด และช่วยให้พืชดูดไนโตรเจน โพแทสเซียมและโมลิบดินัมได้ดีขึ้น

- ซัลเฟอร์หรือกำมะถัน (So42- ) : ช่วยการเจริญเติบโตของราก เป็นส่วนประกอบของสารประกอบหลายชนิดเช่น วิตามินบี 1 และ บี 3 กรดอะมิโน ช่วยสร้างคลอโรฟีลล์ในกระบวนการสังเคราะห์แสง เพิ่มไขมันในพืชและควบคุมการทำงานของแคลเซียม

- เหล็ก (Fe): เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์สำหรับสร้างคลอโรฟิลล์และ Cytochrome ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหายใจ สร้างโปรตีนและดูดซับธาตุอาหารอื่น

- สังกะสี (Zn) : ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน คลอโรฟีลล์และฮอร์โมน IAA (Indole Acetic Acid) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ เอนไซม์ ช่วยให้การทำงานของฟอสฟอรัสและไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเป็นปกติ สมบูรณ์เพศและมีส่งผลต่อการสุกแก่ของพืช

ข้อดีที่กล่าวนี้ทำให้เกษตรกรให้ความสนใจถามหานำไปใช้เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร ปรับค่า pH ในดิน ช่วยสร้างเพิ่มจุลินทรีย์ในดินพร้อมๆ ส่วนการเพิ่มธาตุอาหารหลักอย่าง N P K ยังคงต้องพึ่งปุ๋ยเคมีเป็นหลัก เนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ลูกมาก ใครคิดจะใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกล้วนๆ จะต้องใส่ต้นละประมาณ 1 ตัน/ปี กันเลยจึงจะเพียงพอ ลองคิดดูแล้วกันว่าต้นทุนจะสูงขนาดไหน แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกสักทีเดียว นั้นคือใช้พูมิชซัลเฟอร์ที่ว่าผสมปุ๋ยเคมี (1 : 1) ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก (1 : 2) ผสมเป็นปุ๋ยละลายช้า

4. การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันที่ถูกต้อง ถูกสัดส่วน ถูกเวลา และถูกที่ กระทำได้ต่อไปนี้

- ถูกต้อง นั่นคือแบ่งใส่น้อยแต่บ่อยครั้งดีกว่านาน ๆใส่ครั้งแต่ใส่หนักมือ

- ถูกสัดส่วน พืชทุกชนิดต้องการธาตุอาหารหลัก คือไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) โดยในสัดส่วนของ N:P:K ที่ไม่เท่ากัน สำหรับปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้วต้องการในสัดส่วนประมาณ2:1:4 ถึง 3:1:7 ขึ้นกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ

- ถูกเวลา กล่าวคือช่วงหน้าแล้งหรือฝนตกหนัก ห้ามใส่ปุ๋ยเด็ดขาด ให้ใส่ช่วงที่ดินมีความชื้นพอเหมาะ มีฝนตกประราย

- ถูกที่ การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมัน คือแรกปลูกใส่ห่างจากโคนประมาณ 1 คืบ เมื่อแตกพุ่มแล้ว ให้ใส่ราวช่วงระยะ 1 ใน 3 จากปลายใบเข้าไป ไม่ว่าจะปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพราะนั่นเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด ยกเว้น โบรอนพืชให้ใส่ตามเงาปลายใบ อย่าใส่ที่โคนหรือกาบใบเป็นอันขาด

5. การแต่งทางใบให้จำง่ายๆ ว่าปลูกไปแล้วอย่างน้อย 36 เดือน จึงจะเริ่มแต่งทางใบได้ หลักเกณฑ์ง่ายๆ คือทะลายล่างสุดต้องมีทางเหลืออยู่ 2 ชั้น ภาษาสวนปาล์มเรียก ทางเลี้ยง(ทางใบที่ติดกับทะลายกับทางรับ ถ้าแต่งมากกว่านี้จะทำให้ต้นปาล์มจะโทรม ส่วนปาล์มที่ใช้เคียวจึงจะแต่งเหลือแค่ทางเลี้ยงอย่างเดียว

6. การใช้สารกำจัดวัชพืชในสวนปาล์ม ควรหลีกเลี่ยงเคมีประเภทดูดซึมเด็ดขาดหรือเลิกใช้เคมีได้ก็จะเป็นเรื่องดี ซึ่งจะส่งผลโดยตรงทำให้ต้นปาล์มจะชะงักการเจริญเติบโต

ให้พึงระลึกเสมอว่าการดูแลจัดการสวนมีความสำคัญ 80-90 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว จะทำให้ดีหรือเลวสุดๆก็ยังได้ อย่าเชื่อคำโฆษณา ผลงานในแปลงปลูกเป็นตัวประจานเจ้าของและสายพันธุ์ปาล์ม พี่น้องเกษตรกรท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหาซื้อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทร. 02-9861680 -2 หรือคุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ) โทร. 081-3983128

เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
Read more ...

การจัดการสวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำ (อาศัยน้ำฝน)

23/2/54
ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นที่สามารถให้ผลผลิตทะลายปาล์มได้ตลอดปี เริ่มตั้งแต่อายุได้ประมาณ 3 ปี หลังปลูก โดยเฉลี่ยแต่ละต้นควรจะให้ผลผลิตอย่างน้อย 1 ทะลายต่อเดือน และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานถึง 25 ปี 

รากเป็นแบบรากฝอย รากที่สามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารได้มากอยู่ที่ความลึกประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร จากผิวดิน

ลำต้นของปาล์มจะสูงขึ้นปีละ 50- 60 เซนติเมตร ใบ ประกอบด้วยแกนทางใบ ก้านใบ และใบย่อย ทางใบของปาล์มจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น 

ช่อดอกปาล์มน้ำมัน เกิดจากตาดอกที่ออกจากซอกทางใบที่ติดกับต้น ตาดอกอาจพัฒนาเป็นช่อดอกตัวเมียหรือดอกตัวผู้ ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นปาล์ม ทั้งช่อดอกตัวเมียและช่อดอกตัวผู้อยู่บนต้นเดียวกัน

การพัฒนาของช่อดอก ตั้งแต่ระยะตาดอกที่อยู่ในซอกทางใบ จนถึงระยะเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มใช้ระยะเวลานาน 44 เดือน ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดเพศของช่อดอก คือ ความสมบูรณ์ของต้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการสวน 

ต้นปาล์มที่สมบูรณ์จะให้ดอกเพศเมียมากกว่าเพศผู้ ซึ่งหมายถึงทะลายปาล์ม ปาล์มที่ไม่สมบูรณ์จะให้ดอกเพศผู้มาก เนื่องจากอาหารไม่พอเลี้ยง

เดือนที่ 1 – 38 ตาดอกอยู่ในลำต้น

เดือนที่ 39 – 44 ดอกบานอยู่นอกลำต้น

ผลและเมล็ด หลังจากช่อดอกตัวเมียได้รับการผสมแล้วประมาณ 6 เดือน ปาล์มจะสุก ขนาดของทะลายปาล์มประมาณ 10 - 30 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความสมบูรณ์ของต้นปาล์ม ปาล์มที่สมบูรณ์ขนาดทางใบจะใหญ่และยาว ทะลายก็จะใหญ่ตามไปด้วย ปาล์มที่ไม่สมบูรณ์ทางใบจะเล็ก ทะลายจะเล็กตามไปด้วย

เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ซึ่งจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า ช่วงแล้งติดต่อกัน 3 เดือน เราจัดการอย่างไรกับสวนปาล์มที่ไม่มีระบบน้ำ เพื่อให้ต้นปาล์มมีความสมบูรณ์หรือกระทบกับความแห้งแล้งน้อยที่สุด ผู้เขียนขอแนะนำพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มดังนี้

1. รีบใส่ปุ๋ยก่อนถึงช่วงแล้ง ประมาณเดือน พฤศจิกายน – มกราคม

2. ไม่กำจัดวัชพืชในช่วงหน้าแล้ง ปล่อยให้วัชพืชคลุมดิน เพื่อเก็บความชื้นและรากของวัชพืชยึดดินไม่ให้แตกระแหง หากวัชพืชมีมากเกินไปให้ใช้วิธีตัด อย่างใช้ยาฆ่าหญ้าเด็ดขาด

3. ทางใบให้นำไปวางเรียงไว้ระหว่างแถวเว้นแถว เพื่อใช้คลุมดินและลำเลียงผลผลิต

4. รีบใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ทันทีหลังจากที่ฝนเริ่มตก ประมาณเดือนพฤษภาคม

5. หากสวนปาล์มเกิดผลกระทบจากความแห้งแล้งอย่างรุนแรง ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอก่อน เช่น 15 – 15 – 15 , 19 – 19 - 19 เพื่อเร่งให้ทุกส่วนของปาล์มน้ำมันมีความสมบูรณ์เร็วขึ้น

หลังจากนั้นตามด้วย 0-0-60 เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นเช่นเดิมปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดทั้งปีนั้น ต้นปาล์มจะต้องมีความสมบูรณ์ ต้นปาล์มที่สมบูรณ์ จะต้องได้รับธาตุอาหารอย่างสม่ำเสมอ
Read more ...

"เอนก ลิ่มศรีวิไล"นักปรับปรุงพันธุ์พืชดีเด่นปี'53

23/2/54
คมชัดลึก เมื่อ 9 ก.พ.2554

นับเป็นความสำเร็จสำหรับ

"เอนก ลิ่มศรีวิไล" 

ผู้ทรงคุณวุฒิกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และกรรมการผู้จัดการ

หจก.โกลด์เด้นเทเนอร่า 

ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลนักปรับปรุงพันธุ์พืชดีเด่นปี 2553 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังประสบผลสำเร็จพัฒนาสายพันธุ์ปาล์มลูกผสมพันธุ์เทเนอร่า

ขณะนี้รอเพียงการจดทะเบียนพ่อแม่พันธุ์กับกรมวิชาการเกษตร โดยมีแนวความคิดในการพัฒนาสายพันธุ์ปาล์มให้เหมาะกับพื้นที่ ซึ่งประสบความสำเร็จไปแล้ว 1 สายพันธุ์ และนำออกจำหน่ายให้แก่บริษัทรายใหญ่ๆ ซึ่งเป็นผู้ค้าร่วมทางธุรกิจนำไปเพาะพันธุ์ต้นกล้าจำหน่ายให้แก่เกษตรกร ซึ่งพันธุ์ปาล์มที่ออกจำหน่ายนั้นให้ผลผลิตมากกว่า 4 ตันต่อไร่ต่อปี และมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

เอนกยอมรับว่า ขณะนี้กำลังพัฒนาสายพันธุ์ปาล์มลูกผสมอีก 1 สายพันธุ์ ซึ่งรุ่นใหม่ที่กำลังจะจดทะเบียนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ปรับปรุงแล้วพบว่า

ให้ผลผลิตมากกว่า 5 ตันต่อไร่ต่อปี และ

มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่สกัดได้มากถึง 28 เปอร์เซ็นต์ 

ซึ่งพันธุ์ปาล์มที่ได้นี้จะนำออกจำหน่ายได้ในไม่ช้า รอเพียงการจดทะเบียนเท่านั้น สำหรับการพัฒนาสายพันธุ์ปาล์มลูกผสม เป็นการผสมระหว่างพันธุ์ดูร่ากับพิสิเฟอร่า ออกมาเป็นเทเนอร่า โดยมีขั้นตอนคือการหาต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์

ซึ่งขณะนี้ได้ใช้พื้นที่ประมาณ 300 ไร่ ทำการปลูกปาล์มพันธุ์ลูกผสมที่คิดค้นขึ้นมาปลูกกว่า 1,000 ต้น โดยเลือกแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ที่สมบูรณ์นำมาผสมเกสรตามขั้นตอน จากนั้นก็จะได้พันธุ์ปาล์มออกมาแล้วนำมาผ่านขั้นตอนต่างๆ ในห้องวิจัยและเพาะเมล็ดพันธุ์ส่งจำหน่ายให้แก่บริษัทต่างๆ และชาวบ้านที่ต้องการเพื่อนำไปเพาะเลี้ยงก่อนปลูกหรือขายต่อไป

ทั้งนี้ ในพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ ที่ ต.เขาคราม โดยนายเอนก และนักวิชาการซึ่งจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางด้านเกษตร ได้ร่วมกันพัฒนาสายพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาได้ใช้เวลานานถึง 30 ปี ในการคิดค้นสายพันธุ์ปาล์มว่าจะทำอย่างไรให้ปาล์มน้ำมันมีสายพันธุ์ที่ดี เหมาะสมกับพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อที่จะให้เกษตรกรในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากพันธุ์ปาล์มที่นำไปปลูกมากที่สุด และได้ผลผลิตมากที่สุด ซึ่งสายพันธุ์ที่ได้นั้นขณะนี้เทียบเท่ากับต่างประเทศ และในอนาคตจะดีกว่าสายพันธุ์จากต่างประเทศด้วย

"สิทธิชัย สิขวัตร"
Read more ...

การปลูกปาล์มด้วยระบบน้ำหยด

23/2/54
อนวัช สะเดาทอง โทร.081-857-0811 ที่มา http://www.ch7.com/news/2/8/11758/

ปัจจุบันภาคเอกชน มีการพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกปาล์มน้ำมัน ด้วยระบบน้ำหยด สามารถเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ำมันได้สูงขึ้น

ช่วยให้การให้น้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น 85 ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการให้น้ำในระบบอื่นๆ 

โดยวางท่อส่งน้ำไปตามแนวต้นปาล์ม และติดตั้งหัวน้ำหยดไว้รอบๆโคนต้น เพื่อให้ต้นปาล์มสามารถดึงน้ำไปใช้ได้เต็มที่ และ ไม่สิ้นเปลืองน้ำ

การวางท่อดังกล่าว ควรจะทำในระยะที่ต้นปาล์มยังมีขนาดทรงพุ่มเล็กอยู่ เพราะต้นปาล์มต้องการน้ำตลอด ทุกระยะการเจริญเติบโต แต่เกษตรกรส่วนใหญ่คิดว่าต้นปาล์มต้องการน้ำอย่างเต็มที่ในช่วงที่ต้นโตเท่านั้น ทำให้ผลผลิตปาล์ม น้ำมันที่ได้มีน้อย และเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ได้ก็น้อยตามไปด้วย 

เมื่อต้นปาล์มโตเต็มที่ ให้ปรับหัวน้ำหยดห่างจากโคนต้น ประมาณ 1.2-1.5 เมตร จะทำให้ต้นปาล์มได้น้ำอย่างทั่วถึง 

การปลูกปาล์มด้วยระบบน้ำหยด ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการปลูกปาล์มแบบวิธีธรรมชาติประมาณไร่ละ 5,000 ถึง 6,000 บาท แต่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และผลปาล์มที่ได้จะให้เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ตรงตามศักยภาพของสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาแรงงานในการให้ปุ๋ย เพราะระบบดังกล่าว สามารถให้น้ำและปุ๋ยไป พร้อมๆกันได้โดยตรง ซึ่งถือว่าคุ้มค่า 


Read more ...

ความรู้เกี่ยวกับการปลูกปาล์มน้ำมัน

23/2/54
ประเด็นเทคโนโลยีที่ควรถ่ายทอด

1 การปลูกสร้างสวนปาล์มน้ำมันที่ถูกต้อง

2 การจัดการดินและปุ๋ยในสวนปาล์มน้ำมัน

3 การให้น้ำปาล์มน้ำมัน

4 การรวมกลุ่มและเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้มาตรฐาน

เนื้อหา

1 การปลูกสร้างปาล์มน้ำมันที่ถูกต้อง
1.1 การเลือกสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำสวนปาล์มน้ำมัน
สภาพดินที่เหมาะสมคือ ดินร่วนเหนียว มีความลึกของชั้นหน้าดินมากกว่า 75 เซนติเมตร อุ้มน้ำได้ดี ระดับน้ำใต้ดินลึก 75-100 เซนติเมตร มีธาตุอาหารสูง มีค่าความเป็นกรดอ่อน pH 4.0-6 สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร มีความลาดชันไม่เกิน 12% พื้นที่ไม่มีน้ำท่วมขัง มีการระบายน้ำดีถึงปานกลาง

1.2 การเลือกพันธุ์ปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี
- เป็นปาล์มน้ำมันพันธุ์ลูกผสมเทเนอร่า (DxP)

- ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือมีหนังสือรับรองจากทางราชการ

- เลือกต้นที่สมบูรณ์ ลักษณะดี ไม่มีอาการผิดปกติ

- มีข้อมูลเบื้องต้นในการผลิตที่ดี และสม่ำเสมอ

- มีประวัติพันธุ์ (Breeding Program) ชัดเจน

- มีแหล่งที่ผลิต (ที่มา) ของเมล็ดพันธุ์ที่เชื่อถือได้

- ต้นกล้าปาล์มน้ำมันควรมีอายุหรือขนาดเหมาะสมตามความต้องการของเกษตรกร เช่น ถ้าปลูก

ทันทีควรมีอายุ 8-12 เดือน ถ้าซื้อต้นกล้าเล็กเพื่อนำไปปลูกดูแลก่อน ควรซื้อถุงขนาดเล็กที่มีอายุ 2-4 เดือน

1.3. การเตรียมพื้นที่และการปลูกปาล์มน้ำมัน
หลังการเตรียมพื้นที่ ตัดถนนและทางระบายน้ำแล้ว จึงวางแนวทางการปลูก โดยพิจารณาจาก

ความสอดคล้องกับการทำงาน การระบายน้ำ ความลาดเทของพื้นที่ ทิศทางของแสงแดดเพื่อให้ปาล์มน้ำมันได้รับแสงแดดมากที่สุด เพื่อให้ใบได้มีกระบวนการสังเคราะห์แสง ควรปลูกปาล์มน้ำมันแบบสามเหลี่ยม

ด้านเท่าและการจัดระยะการปลูก 9x9 เมตรเป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากทำให้ปาล์มทุกต้นได้รับแสงมากสุด

แสดงการวางแนวการปลูกปาล์มน้ำมันแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะปลูก 9x9x9 เมตร

1.4 ดูแลรักษาสวนปาล์มน้ำมัน
การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมัน ในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน แต่มีหลักสำคัญคือ

1. ใส่ช่วงที่ปาล์มน้ำมันต้องการ

2. ใส่บริเวณที่รากปาล์มน้ำมันดูดไปใช้ได้มากที่สุด

ควรใส่ปุ๋ยเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ หลีกเลี่ยงการใส่เมื่อแล้งจัดหรือฝนตกหนักใน
ปีแรกหลังจาก

ปลูกควรใสปุ๋ย 4-5 ครั้ง 
ตั้งแต่ปีที่ 2 เ ป็นต้นไป ควรใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง/ปี 

ช่วงที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยคือ ต้นฝน กลางฝน และปลายฝน ตั้งแต่ปีที่ 5 ขึ้นไป อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยเพียงปีละ 2 ครั้ง ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม การแบ่งใส่ปุ๋ย (อัตราที่แนะนำ) เมื่อแบ่งใส่ 3 ครั้ง/ปี แนะนำให้ใช้สัดส่วน 50:25:25 % สำหรับการใส่ปุ๋ย ต้นฝน กลางฝนและปลายฝน และเมื่อแบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี ใช้สัดส่วน 60:40 % ระยะต้นฝนและก่อนปลายฝนตามลำดับ

ช่วงต้นฝน คือ ประมาณเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน

ช่วงกลางฝน คือ ประมาณเดือนกรกฎาคม – พฤศจิกายน

ช่วงปลายฝน คือ ประมาณเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน

การให้น้ำ
ถ้าปลูกในสภาพพื้นที่ที่มีช่วงแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีการขาดน้ำมากกว่า 250 มม./ปี ควรมีการให้น้ำเสริม หรือทดแทนน้ำจากน้ำฝน ในปริมาณ 150-200 ลิตร /ต้น/ปี ถ้ามีแหล่งน้ำจำกัดควรติดตั้งระบบน้ำแบบน้ำหยด ( Drip irriqation ) ส่วนพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมากควรติดตั้งระบบน้ำแบบ Minisprinkler

การปลูกพืชคลุม
เพื่อป้องกันและควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชรวมถึงการพังทะลายของหน้าดิน ควรปลูกพืชคลุมดินหรือใช้ทะลายปาล์มเปล่าเป็นวัสดุคลุมดิน โดยนำทะลายเปล่ากองทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน แล้วนำไปวางกระจายรอบโคนต้น

2 การจัดการดินและปุ๋ยในสวนปาล์มน้ำมัน
2.1 วิธีการเก็บดินที่ถูกต้องเพื่อการวิเคราะห์
ระยะเวลาที่เหมาะสมกับการเก็บตัวอย่างดินคือควรเก็บดินยังมีความชื้นอยู่พอสมควร ดินไม่แห้งหรือแฉะเกินไป ถ้าที่ดินเป็นแปลงขนาดใหญ่ ควรจะแบ่งดินออกเป็นแปลงย่อย แต่ละแปลงย่อยไม่ควรมีขนาดมากกว่า 30 ไร่ แต่ละแปลงย่อยจะเก็บดินได้ 1 ตัวอย่าง

จุดที่จะเก็บดินเพื่อเป็นตัวอย่าง โดยในพื้นที่แปลงย่อยจะเก็บตัวอย่างดินหลายจุด ดินที่เก็บได้จาก แต่ละจุดจะนำรวมกันเป็น 1 ตัวอย่าง ระดับการเก็บตัวอย่างดินออกเป็น 2 จุด คือระดับชั้นบนเก็บลึก 0-15 เซนติเมตร ระดับดินชั้นล่าง เก็บลึก 15-30 เซนติเมตร ซึ่งจะเป็นตัวอย่างของที่ดินในแปลงย่อยนั้น ถ้าแปลงย่อยมีขนาด 10 –20 ไร่ ก็ควรจะเก็บดิน 10 –20 จุด ถ้าเป็นที่สูงๆต่ำ ควรจะเก็บให้มากจุดขึ้น

การเตรียมตัวอย่างดินเพื่อส่งวิเคราะห์ มีวิธีการดังนี้
ย่อยหรือทุบดิน แต่ละตัวอย่างให้เป็นก้อนเล็กคลุกเคล้าดิน แต่ละตัวอย่างให้เข้ากันดี ผึ่งลมไว้ประมาณ 2 – 3 วัน โดยมีข้อควรระวังคือ ไม่ผึ่งแดด เครื่องมือเครื่องใช้ต้องสะอาด และระวังอย่าให้มีสิ่งอื่นลงไปเจือปน แบ่งดินแต่ละตัวอย่างออกเป็นส่วนๆแต่ละส่วนหนักประมาณ 1 กิโลกรัม เอาดินเพียงหนึ่งส่วนใส่ถุงพลาสติก เขียนรายละเอียดประกอบตัวอย่างใส่ลงไปในถุงแล้วรัดปากถุงส่งห้องปฏิบัติการ

2.2 วิธีการเก็บตัวอย่างใบปาล์มน้ำมันที่ถูกต้องเพื่อการวิเคราะห์
ต้องเก็บตัวอย่างทางใบที่ 17 โดยนับจากใบย่อยบริเวณโคนทางใบคลี่เต็มที่และตั้งลากแล้ว ทางใบที่ 17 จะอยู่ซ้ายหรือขวาขึ้นอยู่กับการเวียนของทางใบ โดยใช้จุดกึ่งกลางทางใบที่เริ่มจากแบนเป็นสันเหลี่ยม เก็บใบย่อยทั้ง 2 ด้านข้างละ 6-10 ใบ ตัดส่วนโคนและปลายใบ เก็บเฉพาะส่วนกลางใบยาวประมาณ 5-6 นิ้ว ลอกเส้นกลางใบทิ้งเหลือเฉพาะแผ่นใบ ทำความสะอาดแผ่นใบ อบแห้งและส่งวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

2.3 เทคนิคการแปรความหมาย
เมื่อส่งตัวอย่างดิน-ใบปาล์มน้ำมันไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ระยะหนึ่ง เกษตรกรจะได้รับผลการวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ จึงต้องมีการแปลค่าวิเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าเป็นตัวเลข เราจะต้องทำการแปลค่าหรือให้ความหมายค่าแต่ละค่าว่ามีความหมายอย่างไร การแปลค่าจะทำให้ทราบถึงสภาพของดิน-ใบปาล์มน้ำมันว่ามีสภาพและคุณสมบัติเช่นใด

2.4 การจัดการปุ๋ย สำหรับปาล์มน้ำมัน เมื่อห้องปฏิบัติการได้ผลการวิเคราะห์แล้วก็จะแนะนำให้ใส่ปุ๋ยตามอาการขาดธาตุอาหาร

3 การให้น้ำปาล์มน้ำมัน
3.1 ความจำเป็นและหลักการให้น้ำ

3.2 การคำนวณและการติดตั้งระบบน้ำในสวนปาล์มน้ำมันที่ถูกต้อง

3.3 วิธีการให้น้ำในสวนปาล์มน้ำมันที่เหมาะสม
- พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งน้ำเพียงพอ ควรติดตั้งระบบน้ำแบบน้ำหยด (Drip irrigation)

- พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมากเกินพอ ควรติดตั้งระบบน้ำแบบระบบโปรยน้ำ (Mini Sprinker)

4 การรวมกลุ่มและเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้มาตรฐาน
4.1 ความจำเป็นและหลักการรวมกลุ่มของเกษตรกร

4.2 การเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันที่ถูกต้องและเหมาะสม

การเก็บเกี่ยวและการขนย้าย
การเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มสดเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญที่สุดในการเพิ่มผลผลิตน้ำมันปาล์มต่อไร่ เจ้าของสวนปาล์มต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตทะลายปาล์มสดที่สุกพอส่งเข้าโรงงานเพื่อให้ได้น้ำมันปาล์มทั้งปริมาณและคุณภาพสูงสุดต่อไร่ จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปปฏิบัติ ดังนี้

1. เก็บเกี่ยวทะลายผลปาล์มสดในระยะที่สุกพอดี คือ ระยะที่ผลปาล์มมีสีผิวเปลือกนอกเป็นสีส้มสดและเริ่มมีผลร่วงหล่นทะลายปาล์มร่วมที่โคนต้นไม่น้อยกว่า 10 ผลต่อทะลาย

2. รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุกควรจะอยู่ในช่วง 7-10 วัน

3. รอบการเก็บเกี่ยวในช่วงมีผลผลิตน้อย ควรเก็บเกี่ยว 14-21 วันต่อรอบ

4. รวบรวมผลปาล์มน้ำมันที่เป็นทะลายและลูกร่วมให้เป็นกองในที่ว่างโคนต้น ควรเก็บผลปาล์มร่วงใส่ภาชนะ เช่น ตะกร้า เข่ง หรือกระสอบ

5. การเก็บรวบรวมผลปาล์ม ควรลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อย เพื่อลดการชอกช้ำและบาดแผลของผลปาล์ม

6. ทำความสะอาดผลปาล์มที่เปื้อนดิน หรือเศษหิน ดิน ทราย และไม้กาบหุ้มทะลายออกก่อน

7. ต้องรีบส่งผลปาล์ม ไปยังโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
Read more ...

เทคโนโลยีการปลูกปาล์มระบบน้ำหยด

23/2/54

นายอนวัช สะเดาทอง รองผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยถึงที่มาและความสำคัญที่กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้มีการพัฒนา

เทคโนโลยีการปลูกปาล์มแบบการให้ธาตุอาหารในรูปแบบระบบน้ำหยด

ว่า โดยธรรมชาติของปาล์มน้ำมันจะเจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตสูง ตามศักยภาพของสายพันธุ์ ต้องการน้ำประมาณ 1,800 – 2,000 มม./ปี (150-200 มม./เดือน)

แต่ในเขตปลูกปาล์มน้ำมันทั่วไปของประเทศไทยจะมีช่วงขาดน้ำฝนประมาณ 2-4 เดือน/ปี (300-350 มม./ปี) การกระทบแล้งดังกล่าวทำให้คุณภาพผลผลิตปาล์มสดลดลง การติดตั้งระบบชลประทาน จะทำให้ผลผลิตปาล์มสดเพิ่มขึ้น 15- 30 %
ดังนั้นการนำระบบการติดตั้งระบบชลประทานแบบน้ำหยดสามารถเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตปาล์มน้ำมันซึ่งระบบดังกล่าวมีข้อดีดังนี้คือ ทำให้การให้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพการให้น้ำสูงสุด เมื่อเทียบกับการให้ระบบชลประทานแบบอื่นๆ

ถ้าหากเป็น

ระบบสปริงเกลอร์ จะสามารถให้น้ำที่มีประสิทธิภาพถึง 60-75% 
ระบบมินิสปริงเกลอร์ 75-85%
ส่วนระบบน้ำหยดจะสามารถให้น้ำที่มีประสิทธิภาพถึง 85-95% 

ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวระบบน้ำหยด เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพราะนอกจากจะสามารถช่วย
ลดอัตราการระเหยของน้ำบริเวณผิวดินใต้โคนปาล์มได้ดีแล้วยัง
สามารถารกระจายน้ำให้เหมาะสมพอดีกับบริเวณรากปาล์มได้ดี และ
ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากการไหลออกนอกเขตรากปาล์ม และ
ช่วยให้มีการดูดไปใช้ของวัชพืชในโคนปาล์มได้ดี
ไม่มีปัญหาเรื่องลมในขณะให้น้ำ
สะดวกต่อการปฏิบัติงานในแปลงปาล์มน้ำมัน เนื่องจากมีขนาดเล็กกระทัดรัด ไม่กีดขวางการทำงาน การกำจัดวัชพืช การเก็บเกี่ยว
การตัดแต่งทางใบไม่ชำรุดเสียหายง่าย(ไม่ต้องมีเสาปักยึดหัวน้ำหยด)
 ที่สำคัญระบบน้ำหยดนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิตได้ 15-25%

ทั้งนี้หากเกษตรกรปลูกปาล์มแล้วขาดน้ำจะเกิดผลเสียดังนี้คือมีลักษณะคือ
ผลผลิตปาล์มสดลดลง
ยอดใบใหม่ไม่คลี่
เพิ่มอัตราฝ่อของช่อดอกเพศเมีย
จำนวนช่อดอกเพศผู้เพิ่มขึ้น
ปริมาณน้ำมันในเนื้อผลลดลง

นอกจากนี้ระบบน้ำหยดยังส่งผลดีต่อ
การให้ปุ๋ยหรือธาตุอาหารไปพร้อมระบบน้ำ
ซึ่งจะส่งผลดีของการให้ปุ๋ยไปพร้อมระบบน้ำที่สำคัญคือ สามารถจัดการธาตุอาหารให้ตรงตามปริมาณและเวลาที่พืชต้องการได้ รวมทั้งยัง
ช่วยลดการสูญเสียของปุ๋ยหรือธาตุอาหารทำให้ประหยัดค่าปุ๋ยไปได้ 10-25% และ
ลดปัญหาแรงงานในการใส่ปุ๋ย
ลดการระบาดของวัชพืชได้มาก ซึ่งระบบการให้น้ำในรูปแบบนี้มีการใช้และดูแลรักษาง่าย
อายุการใช้งานนาน

นายอนวัชยังกล่าวถึงรูปแบบการให้น้ำ หรือรูปแบบการติดตั้งระบบชลประทานแบบน้ำหยด จะวางสายส่งน้ำไปตามแนวต้นปาล์ม และจะติดตั้งหัวน้ำหยดไว้รอบๆใต้โคนปาล์ม ระยะที่ต้นปาล์มยังมีขนาดทรงพุ่มเล็กอยู่ จะวางหัวน้ำหยดไว้ไกล้โคนปาล์ม เพื่อให้น้ำหยด กระจายรอบโคนปาล์มและน้ำซึมลงไปให้เหมาะสมกับเขตรากปาล์มพอดี

เมื่อต้นปาล์มมีขนาดทรงพุ่มใหญ่ขึ้น ก็สามารถขยับหรือจัดหัวน้ำหยดให้อยู่ในตำแห่งเขตรากได้ตามความเหมาะสม เมื่อต้นปาล์มโตเต็มที่ก็สามารถปรับหัวน้ำหยดให้ห่างจากโคนปาล์มประมาณ 1.2-1.5 เมตร หัวน้ำหยดก็จะกระจายน้ำให้กับต้นปาล์ม
สำหรับการลงทุนติดตั้งระบบชลประทานแบบน้ำหยดในสวนปาล์มน้ำมันนั้นในการปลูกปาล์มน้ำมันโดยระบบน้ำหยดจะมี

ค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการปลูกโดยวิธีธรรมชาติประมาณไร่ละ 5,000-6,000 บาท 

ขึ้นอยู่กับ
สภาพพื้นที่
แหล่งน้ำ
ขนาดพื้นที่
การจัดการปุ๋ยพร้อมระบบน้ำ(Fertigation)

การลงทุนติดตั้งระบบน้ำหยดในสวนปาล์มน้ำมันสามารถเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 20% 

คิดง่ายๆ ถ้ามีระบบน้ำจะไม่ทำให้ทะลายปาล์มฝ่อหรือหายไป (ขาดคอ)สมมุติว่าถ้า

1 ปี สามารถเพิ่มทะลายปาล์มน้ำมันได้ 2 ทะลายต่อต้นต่อปี(25 กก./ทะลาย) 


1ไร่จะมีทะลายปาล์มเพิ่ม 40 ทะลายต่อไร่ต่อปี = 1,000 กก./ไร่/ปี 


ราคาปาล์มทะลายสด 4 บาท/กก.จะเป็นเงิน 1,000 x 4 = 4,000 บาท

ใช้เวลา 1 ปีครึ่ง ก็สามารถคืนทุนได้แล้ว

ที่สำคัญกว่านั้นคุณภาพของปาล์มทะลายสดจะสูงมาก (%) น้ำมันจะสูงตรงตามศักยภาพของสายพันธุ์

ในส่วนของการติดตั้งระบบชลประทานในระบบนี้มีความเหมาะสมในเขตปลูกปาล์มน้ำมันที่มีฝนแล้งติดต่อกันตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป สำหรับเขตปลูกปาล์มน้ำมันที่มีฝนกระจายตลอดทั้งปี มีปริมาณฝนตกทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องลงทุนติดตั้งระบบชลประทานเพื่อให้น้ำแก่ต้นปาล์ม แต่อาจมีความเหมาะสมกับเขตปลูกปาล์มที่มีปัญหาแรงงาน เพราะระบบน้ำหยดสามารถให้ปุ๋ยกับต้นปาล์มได้โดยใส่ปุ๋ยพร้อมระบบน้ำ ซึ่งเป็นระบบจัดการธาตุอาหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

นายอนวัชยังกล่าวถึงข้อดีหรือข้อแตกต่างที่เกิดขึ้นว่าการติดตั้งระบบชลประทานมีข้อดีและแตกต่าง จากการปลูกปาล์มที่ไม่ติดระบบน้ำ อธิบายโดยสังเขปได้ว่าตามหลักธรรมชาติการเจริญเติบโตของพืชแทบทุกชนิดต้องการน้ำที่เพียงพอ และเหมาะสมโดยเฉพาะช่วงอายุระหว่างการเจริญเติบโตและช่วงให้ผลผลิต ในช่วงของการเจริญเติบโต(ก่อนให้ผลผลิตอายุ 1-3 ปี)

การติดตั้งระบบชลประทานมีส่วนสำคัญมากในการสร้างความเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ให้กับต้นปาล์มน้ำมัน และป้องกันความเสียหายจากการขาดน้ำ การขาดน้ำทำให้ต้นปาล์มแคระแกรนชะงักงัน การเจริญเติบโตให้ผลผลิต ล่าช้ากว่าปกติ เพราะโดยธรรมชาติของปาล์มน้ำมันจะผลิตตาดอกประมาณ 30 เดือน ก่อนที่ช่อดอกจะโผล่พ้นดอกมาจากต้น ถ้ามีการให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ขบวนการเจริญเติบโตและการผลิตตาดอกเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ตรงตามสายพันธุ์ และให้ผลผลิตเร็วตามอายุ

ในช่วงให้ผลผลิต(อายุ 4 ปีขึ้นไป) การให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอจะส่งเสริมให้ปาล์มน้ำมันมีทะลายเพิ่มขึ้น(ช่อดอกไม่ฝ่อ) น้ำหนักต่อทะลายเพิ่มขึ้น และเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเนื้อผลปาล์มไม่ลดลง เป็นการเพิ่มผลผลิตปาล์มสดต่อไร่ได้มากขึ้นประมาณ 15-20% เพราะว่าปาล์มน้ำมันถ้าขาดน้ำติดต่อกันเกิน 2 เดือน (300-350 มม.) จะทำให้ผลผลิตปาล์มสดลดลง

ข้อดีที่สำคัญของการติดตั้งระบบชลประทานสามารถชดเชยการขาดน้ำช่วงฝนแล้งเป็นการป้องกันและลดการเสียหายของผลผลิตปาล์มน้ำมัน ทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสม่ำเสมอ และลดปัญหาผลปาล์มล้น และขาดในบางฤดู ผลผลิตปาล์มสดออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ แก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำในช่วงฤดูปาล์มออกมาก นายอนวัชกล่าวเสริมว่าในปัจจุบันระบบนี้ในปัจจุบันการติดตั้งระบบชลประทานในสวนปาล์มยังมีค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับจำนวนพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันจะมีบ้างที่ติดตั้งระบบน้ำหยดในสวนปาล์มส่วนมากจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทางภาคใต้และภาคตะวันออก

สาเหตุที่สำคัญน่าจะมาจากการขาดข้อมูลที่ดี ขาดการแนะนำ ที่สำคัญปาล์มน้ำมันส่วนมากจะปลูกในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนมาก ทำให้ผลผลิตลดลงไม่มาก ชาวสวนจึงขาดความสนใจ

ในอนาคตคาดว่าจะมีการติดตั้งระบบน้ำหยดในสวนปาล์มมากขึ้น เนื่องจากจำเป็นต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มผลผลิตปาล์มโดยการขยายพื้นที่ปลูกใหม่ ในอนาคตจะมีอย่างจำกัด การเพิ่มผลผลิต/ไร่ จึงมีความจำเป็นและสำคัญมาก โดยเฉพาะเขตปลูกปาล์มน้ำมันที่มีฝนน้อย เช่นภาคกลาง ภาคอีสานและภาคตะวันออก การติดตั้งระบบชลประทานจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับในพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ได้มีการตื่นตัวในการติดตั้งระบบชลประทานน้ำหยดมากขึ้นวัตถุประสงค์หลักคือการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เช่น

อ้อยน้ำหยด
มันสำปะหลังน้ำหยด
ข้าวโพดน้ำหยด

สำหรับในพืชผักส่วนมากจะติดตั้งในพืชตระกูลแตง สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้สูงและสร้างผลตอบแทนได้มาก อย่างเห็นได้ชัด ในส่วนปาล์มน้ำมันสิ่งที่จะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันหันมาสนใจในการติดตั้งระบบชลประทาน ระบบน้ำหยด และเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลเอาใจใส่สวนปาล์ม เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ/ไร่ให้มากขึ้น ราคาผลผลิตปาล์มสดมีส่วนสำคัญมาก

ในด้านของอายุการใช้งานของระบบชลประทานแบบน้ำหยดเป็นระบบที่ติดตั้งและดูแลรักษาง่ายไม่ซับซ้อนที่สำคัญชาวสวนปาล์มหรือผู้ใช้ ต้องมีความเข้าใจ การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพดี การออกแบบที่ถูกต้องจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบใช้การได้ดี ประหยัดค่าใช้จ่ายและแรงงาน รวมทั้งการดูแลรักษาระบบที่ถูกต้องมีคำแนะนำจากบริษัทผู้ออกแบบติดตั้ง การเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอระหว่างผู้ออกแบบติดตั้งและผู้ใช้ จะทำให้การใช้งานของระบบคุ้มค่าต่อการลงทุน และอายุการใช้งานยาวนาน ปกติอายุการใช้งานของระบบมากกว่า 10 ปีขึ้นไปขึ้นอยู่กับวัสดุและการบำรุงรักษานายอนวัชกล่าว

หากสนใจระบบน้ำติดต่อได้ที่
กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์
คุณอนวัช สะเดาทอง 081-857-0811
ศิริลักษณ์ /ศิริพร ฝ่ายข่าวและประชาสัมพันธ์
กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจรืญโภคภัณฑ์
089-1399801/086-3135966 /02-6759668
Read more ...

การวางแนวปลูก

23/2/54
ระยะปลูก 9 เมตร

กับ

ระยะปลูก 8 เมตร
Read more ...

ปาล์มโคลนนิ่ง "คอมแพค ทอร์นาโด" ผลผลิต 6-7 ตัน ต่อไร่

23/2/54
เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 21 ฉบับที่ 461
ปาล์มโคลนนิ่ง "คอมแพค ทอร์นาโด" ผลผลิต 6-7 ตัน ต่อไร่ อาร์ แอนด์ ดีฯ ที่ชุมพร ภูมิใจนำเสนอ...โปรดติดตาม

ระยะเวลา 4-5 ปีมานี้ เมืองไทยพูดถึงพืชพลังงานกันมาก โดยเฉพาะพลังงานที่นำไปเติมให้กับรถ จะไม่ให้พูดได้อย่างไร เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่ง น้ำมันดีเซลราคาพุ่งสูงเกือบ 2 ลิตร 100 บาท คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หากที่ทำงานไกลหน่อย รถติด ไป-กลับวันหนึ่งหากใช้น้ำมันสัก 4 ลิตร ก็ไม่ไหวแล้ว เพราะมีรายได้เท่าเดิม นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น อาชีพอื่นๆ อย่างเรือประมง การขนส่งสินค้า ก็หน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน ระยะหลังราคาน้ำมันดูผ่อนคลายลง แต่จะให้ราคาถูกเหมือน 7-8 ปีที่แล้ว คงเป็นไปได้ยาก

การพูดถึงพืชพลังงานในช่วงราคาน้ำมันแพง ดูคึกคักจริงๆ สังเกตได้จากการสัมมนาตามที่ต่างๆ คนแห่กันไปฟังจนล้นหลาม ต้องต่อโทรทัศน์วงจรปิด ในทางกลับกัน เมื่อราคาน้ำมันลดลง งานสัมมนามีคนไม่มากเท่าที่ควร

ในบ้านเรา มีการหยิบยกพืชพลังงานมาปัดฝุ่นกันหลายชนิด บางชนิดเป็นไม้ที่ใช้ทำรั้วมาก่อน หลังๆ ก็ซาไป แต่ยังพบเห็นตามสถาบันที่สอนทางด้านการเกษตร แต่ผู้ดูแลก็ไม่เอาใจใส่เท่าที่ควร ปล่อยให้หญ้าขึ้นรก คงต้องให้น้ำมันลิตรละ 40 บาท เขาจึงต้องดูแลกันอย่างจริงจังอีกทีหนึ่ง

ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชพลังงานที่ได้รับการพูดถึงมากในช่วงที่ผ่านมา จริงๆ แล้วเดิมพืชชนิดนี้ปลูกมานานกว่า 80 ปีแล้ว หลักฐานที่ชัดเจนที่สุด คือที่ฟาร์มบางเบิด หรือสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หน่วยงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกที่หนึ่งคือศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี อยู่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี แต่อายุของต้นจะน้อยกว่าที่บางเบิด

ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านปาล์มน้ำมันมาก อยู่ใกล้ๆ บ้านเราคือ มาเลเซีย ทุกวันนี้ เขาพัฒนาเพิ่มมูลค่าไปมากแล้ว โดยมีบริษัทเอกชนจากสหราชอาณาจักร เป็นผู้ดำเนินการ

ปาล์มน้ำมัน.......ปลูกได้ผลดีเฉพาะถิ่น
ประเทศไทยมีปลูกปาล์มน้ำมันมากที่ภาคใต้ ต่อมามีเพิ่มเติมที่ภาคตะวันออก และที่แทบไม่น่าเชื่อ มีการนำไปปลูกที่อีสานถิ่นที่แห้งแล้ง ปรากฏว่าได้ผล โดยเฉพาะบริเวณที่มีแหล่งน้ำ

มีคำถามอยู่เสมอว่า ปาล์มน้ำมันกับยางพาราอย่างไหนดีกว่ากัน เป็นคำถามที่เกจิทางด้านการเกษตรตอบยาก เพราะการนำไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน

แต่ก็มีผู้รู้ทางด้านนี้ให้ความเห็น ขอเน้นว่า...เป็นเพียงความเห็น
ผู้รู้บอกว่า ยางพาราปลูกได้ทั่วไป แม้กระทั่งใจกลางทุ่งแล้งอย่างทุ่งกุลาร้องไห้ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่ปลูกยางพาราอำเภอนี้มากกว่า 1,000 ไร่ ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว เวียดนาม รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ปลูกยางพารากันมากมาย คนที่เคยไปเที่ยว นั่งรถไป ก่อนงีบหลับเห็นต้นยางพาราเต็มไปหมด ตื่นขึ้นมาก็ยังเห็นต้นยางพาราอยู่ รถวิ่งปกติ ไม่ได้หยุด

เมื่อหันมามองปาล์มน้ำมัน เดิมผลิตเพื่อเป็นอาหาร ต่อมาได้นำมาใช้เป็นพืชพลังงาน อย่าง B5 ใน 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำมันดีเซลที่ได้จากการสูบขึ้นมาจากใต้ดิน 95 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำมันปาล์ม พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันได้ผลดีเป็นเขตร้อนชื้นฝนตกชุก เขตที่ฝนน้อยอย่างอีสาน ปลูกได้แต่ต้องมีแหล่งน้ำ บริเวณที่มีน้ำน้อย ความชื้นไม่ดี เมื่อต้นปาล์มเริ่มมีพัฒนาการของดอก ดอกเพศเมียจะกลายเป็นเพศผู้ ผลผลิตจึงไม่ได้เก็บเกี่ยว ดูตัวอย่างได้ตามเกาะกลางถนนที่กรุงเทพฯ เดิมเขาขุดมาจากชลบุรี จากประจวบคีรีขันธ์ พอมีผลผลิตบ้าง แต่มาเจออากาศร้อน น้ำน้อยที่กรุงเทพฯ ดอกจึงกลายเป็นตัวผู้อย่างที่เห็น

นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างยางพารากับปาล์มน้ำมัน

ในอดีต ได้พันธุ์ปาล์มที่ผลผลิตน้อย
งานปลูกปาล์มน้ำมัน เรื่องของสายพันธุ์มีความสำคัญมาก คือต้องให้ผลผลิตสูง ดังนั้น สายพันธุ์ต้องมีการผสมและคัดเลือกอย่างดีจากองค์กรที่เชื่อถือได้ แรกๆ ที่ปาล์มบูม มีความเชื่อว่า การปลูกปาล์มทำได้ง่ายๆ เหมือนการปลูกมะพร้าว คือผลร่วงหล่นใต้ต้นก็เก็บมาปลูกได้ จริงๆ แล้วไม่เป็นอย่างนั้น

ยุคเริ่มต้นที่มีการปลูกปาล์ม มีผู้ค้าหัวใส ไปเก็บปาล์มน้ำมันใต้ต้นจากประเทศมาเลเซีย มาเพาะจำหน่าย แล้วบอกผู้ซื้อว่า นำมาจากต่างประเทศ ซึ่งก็ต่างประเทศจริงๆ คือมาเลเซีย ผู้ซื้อเมื่อนำไปปลูก ปรากฏว่าให้ผลผลิตน้อย ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน หลังๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ผู้ค้ากล้าปาล์มไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้เกษตรกรได้กล้าปาล์มที่มีคุณภาพ

ปาล์มโคลนนิ่ง "คอมแพค ทอร์นาโด"......สุดยอดของปาล์ม ที่ชุมพร
บริษัท อาร์ แอนด์ ดี เกษตรพัฒนา จำกัด เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงโดดเด่นทางด้านกล้าปาล์มน้ำมันไม่น้อย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ร่วมวิจัยกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร ภายใต้ "โครงการความร่วมมือสหกิจศึกษาทางวิชาการเกษตร"

มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมกิจการของ บริษัท อาร์ แอนด์ ดีฯ บริษัทนี้มีแต่คนหนุ่มๆ ทำงาน เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย ดูคึกคักมาก เหมือนวัวหนุ่มมุ่งมั่นและพร้อมที่จะเทียมเกวียน ที่มีอาวุโสหน่อยก็ คุณเอกชัย รัตนมงคล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ อาจารย์พิเศษ และที่ปรึกษา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้

ถึงแม้จะอาวุโสกว่าน้องๆ แต่คุณเอกชัยดูแคล่วคล่อง มีอัธยาศัยและไมตรีอันดีเยี่ยม เรื่องนี้ สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ทราบดี

การไปเยี่ยมชมกิจการของ บริษัท อาร์ แอนด์ ดีฯ ครั้งใหม่นี้ คุณเอกชัย และ คุณอรุณ ไชยานุล นักวิชาการเกษตร ได้พาไปดูปาล์มโคลนนิ่งนามว่า "คอมแพค ทอร์นาโด" ระหว่างนั่งไปบนรถ ได้ข้อมูลว่า คุณอรุณเป็นคนหนุ่มที่แดนใต้ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ จังหวัดชลบุรี‚สถาบันนี้ไม่ธรรมดา

คุณอรุณเล่าว่า ปกติทางบริษัทนำพันธุ์ปาล์มน้ำมันเข้ามาจากประเทศคอสตาริกา ชื่อพันธุ์ "คอมแพค ไนจีเรีย" ผลผลิต 5 ตัน ต่อไร่ มาเผยแพร่ บริษัทที่ผสมและคัดเลือกอยู่ที่คอสตาริกา คือบริษัท ASD ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงก้องโลก เรื่องพันธุ์ปาล์มน้ำมัน

คอมแพค ไนจีเรีย ดีอยู่แล้ว สุดยอดอยู่แล้ว ทำไมต้องมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามา
คุณอรุณอธิบายว่า คอมแพค ไนจีเรีย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เมื่อปลูกมีความแปรปรวนบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่คอมแพค ทอร์นาโด ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต้นคอมแพคที่ดีที่สุด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "โคลนนิ่ง" เจ้าคอมแพค ทอร์นาโด ให้ผลผลิต 6-7 ตัน ต่อไร่ ต่อปี เห็นไหมผลผลิตสูงกว่าคอมแพค ไนจีเรีย ถึง 1-2 ตัน

ขอยกตัวอย่าง หากปาล์มคอมแพค ทอร์นาโด เปรียบเสมือน สมจิตร จงจอหอ วีรบุรุษเหรียญทองโอลิมปิค ที่มีความเก่ง เราอยากได้คอมแพค ทอร์นาโดมากๆ ก็เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อออกมา ก็จะได้ลักษณะให้ผลผลิตดกมากๆ เปรียบกับคน ก็คือ สมจิตร จงจอหอ คนที่ 1, 2, 3 ๆๆๆ

ในทางปฏิบัติ ทางด้านพืช สามารถทำได้ อย่างปาล์มให้ผลผลิต 6-7 ตัน ต่อไร่ ต่อปี เมื่อเพาะเนื้อเยื่อจากต้นที่ได้ 6-7 ตัน ต้นใหม่ก็ให้ผลผลิตตามนั้น

ในวงการสัตว์ โคลนนิ่งได้แล้ว เมืองไทยทำกับวัว....สำหรับคนหรือมนุษย์ ยังไม่มีงานทดลอง หรือฝรั่งจะทดลองแล้วก็ได้

ถามว่า...แล้วทำไมไม่ปลูกคอมแพค ทอร์นาโด ทั้งประเทศ นำผลผลิตมาเติมรถ ไม่ต้องซื้อน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศ

คุณอรุณมีคำตอบว่า คอมแพค ทอร์นาโด มีต้นทุนสูง โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยง สภาพแวดล้อมต้องดี หมายถึงน้ำและความชื้น ราคาต้นพันธุ์นั้นก็สูงแน่นอน

คุณอรุณบอกว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือการโคลนนิ่ง ที่คอสตาริกา เขาใช้ช่อดอกอ่อน ที่มาเลเซียใช้ยอดอ่อนของต้น หมายถึงต้องตัดต้นมาทำ แล้วเสียต้นนั้นไป ถือเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง เมืองไทยเราก็กำลังศึกษาอยู่

แล้วคอมแพค ทอร์นาโด.....ดีอย่างไร
คุณอรุณอธิบายว่า โดยทั่วไป การปลูกปาล์มน้ำมันใช้ระยะระหว่างต้นระหว่างแถว 9 คูณ 9 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 22 ต้น ผลผลิตเฉลี่ย 3-4 ตัน ต่อไร่ หากใช้พันธุ์ที่ดีหน่อยก็ขยับขึ้นเป็น 5 ตัน ต่อไร่

เจ้าคอมแพค ทอร์นาโด ต้นเตี้ย ทางใบสั้น จำนวนที่ปลูกต่อไร่ได้มาก ผลผลิต 6-7 ตัน ต่อไร่

คอมแพค ทอร์นาโด หลังปลูก 6 เดือน เริ่มแทงช่อดอก ขณะที่ปาล์มทั่วไปใช้เวลา 14 เดือน เมื่ออายุ 18 เดือน ติดผล เมื่ออายุ 2 ปี หลังปลูก เก็บผลผลิตได้เลย

คุณอรุณบอกว่า โดยทั่วไป ปาล์มน้ำมันมีจำนวนต้นต่อไร่ 22 ต้น เมื่อปลูกคอมแพค ทอร์นาโด ปลูกได้ 33 ต้น ต่อไร่ ผลผลิตจึงเพิ่มขึ้น เพราะแต่ละต้นให้ผลผลิตมาก รวมทั้งจำนวนต้นต่อไร่มากขึ้นด้วย ในอนาคต นักวิชาการเกษตรหนุ่มบอกว่า ถึงแม้ประเทศไทยโดยรวม ต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น แต่การไปบุกรุกที่ขยายพื้นที่ปลูกทำได้ยาก การเพิ่มผลผลิตที่ดีทางหนึ่ง คือเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ให้มากขึ้น โดยใช้พันธุ์ที่ต้นเล็กลง อาจจะใช้ระยะระหว่างแถว 6 คูณ 6.5 เมตร ไร่หนึ่งปลูกได้ 44 ต้น ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยอยู่ รวมทั้งหาต้นพันธุ์ที่โดดเด่นในเมืองไทยเอง

"เหตุที่คอมแพค ทอร์นาโด มีราคาแพง เพาะอยู่ในแล็บ 2 ปี ผู้สนใจปลูกต้องมีปัจจัยพร้อม แต่หากได้ปลูกแล้วคุ้มค่าต่อการลงทุน มีคนสนใจสั่งจอง แต่เรามีตอบสนองให้น้อย" คุณอรุณ บอก

คุณเอกชัย รัตนมงคล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บอกว่า บ้านเราตอนนี้ปลูกคอมแพค ทอร์นาโด 300-400 ไร่ เป็นเกษตรกรมืออาชีพ ใช้เทคโนโลยีที่สูง แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน

คุณเอกชัย และคุณอรุณ ได้พาไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร ที่อำเภอละแม จัดเป็นสถาบันการศึกษาที่น่าเล่าเรียนมาก ภูมิทัศน์ของแม่โจ้-ชุมพร สวยงามมาก ด้านหน้าติดทะเลที่มีหาดทรายขาว น้ำใส

อาจารย์จิระศักดิ์ วิชาสวัสดิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร เล่าถึงการทำงานว่า ทางแม่โจ้-ชุมพร ได้ร่วมกับ บริษัท อาร์ แอนด์ ดี จำกัด ศึกษาเรื่องปาล์มน้ำมัน หลายๆ ด้าน

สำหรับการขยายพันธุ์ โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือการทำโคลนนิ่งก็ทำกันอยู่ เป็นการศึกษาเบื้องต้น ต้องใช้เวลา ขณะนี้เริ่มเห็นแนวทางพอสมควร

ผู้สนใจเรื่องปาล์มน้ำมัน ต้องสำรวจตัวเองให้ดี เรื่องความพร้อมทางด้านต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ

หากมีข้อสงสัยก็สอบถามได้ที่ คุณอรุณ ไชยานุล โทร. (086) 293-6977 คุณเอกชัย รัตนมงคล โทร. (085) 762-6897 หรือที่ศูนย์ฯ สวี (085) 214-8668 ศูนย์ฯ ละแม (087) 935-0001

คุณสมชาติ สิงหพล ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท อาร์ แอนด์ ดีฯ บอกว่า เนื่องจากปาล์มเป็นพืชที่อยู่ในกระแสความสนใจของเกษตรกรและบุคคลทั่วไป เป็นพืชที่มีผลต่อเศรษฐกิจของชาติ ทางบริษัทยินดีให้คำปรึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจโดยกระจ่างแจ้ง ดังนั้น ใครสนใจโทร.ปรึกษาได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อผลิตผลก็ได้
Read more ...

พันธุ์ปาล์มทนแล้ง

23/2/54
พันธุ์ปาล์มที่แนะนำเหมาะสมที่จะปลูกในภาคเหนือและภาคอีสานคือ

พันธุ์ "ลาเม่" (Deli x Lame) ของ บริษัท A S D จากประเทศคอสตาริกา และ

พันธุ์ ซีหราด (Deli x Lame) ของฝรั่งเศส ผลิตที่ประเทศไอเวอรีโคสต์

ลักษณะพันธุ์

1. เป็นพันธุ์ทางใบสั้น ทนแล้ง จึงสามารถให้ผลผลิตในหน้าแล้งได้ดี ทำให้ขายปาล์มในราคาที่ดี เพราะปาล์มหน้าแล้งมีไม่มาก

2. ต้นสูงช้า เฉลี่ยปีละ 30-40 เซนติเมตร ต่อปี มีผลดีต่อการเก็บเกี่ยวง่ายและเก็บเกี่ยวได้นานถึง 25 ปี

3. ระยะปลูก ใช้ระยะ 8.5x8.5 เมตร หรือ 8.75x8.75 เมตร จะได้จำนวน 26 ต้น ต่อ 1 ไร่ ผลผลิต = 3.5-5 ตัน ต่อ 1 ไร่ ต่อ 1 ปี

4. เหมาะที่จะปลูกในภาคเหนือและอีสาน ที่มีฝนเฉลี่ย 1,400 มิลลิเมตร ต่อ1 ปี โดยมีระบบน้ำให้เพิ่มเติมอยู่ 4 เดือน คือเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นหน้าหนาวไม่มีฝนตก ทดแทนไว้เพื่อป้องกันผลผลิตต่ำ
Read more ...

ปาล์มน้ำมัน จ.กำแพงเพชร

23/2/54
เมื่อ 2 ม.ค.2551

ปาล์มพืชน้ำมันบนดิน ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่น่าสนใจมากชนิดหนึ่งเพราะปัจจุบันราคาน้ำมันสูงปาล์มสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ใช้กับเครื่องยนต์ทดแทนน้ำมันได้ ดิฉันไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการปลูกปาล์มเพียงแต่ทราบว่า ปาล์มปลูกและให้ผลผลิตดีในภาคใต้

ที่นำมาเขียนถึงเพราะมีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรนำปาล์มมาปลูกในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรจากภาคใต้ที่มาซื้อที่ดินในเขตพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร และขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับเปลี่ยนตาม ในขณะนี้ปาล์มในจังหวัดกำแพงเพชรมีพื้นที่ปลูกประมาณ 1,000 ไร่ ผลงานทางวิชาการจังหวัดกำแพงเพชรเป็นเขตไม่เหมาะสมสำหรับการปลูกปาล์มน้ำมัน

คุณศักดิ์ชัย และคุณตฤณสร สัมทับ อยู่บ้านเลขที่21 หมู่ที่ 12 บ้านดาดเจริญ ตำบลอ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 

จบปริญญาตรีและเคยทำงานบริษัทญี่ปุ่น บริษัทน้ำมัน เป็นสื่อมวลชน และเอ็นจีโอ ได้ออกมาทำการเกษตรปลูกพืชหลากหลายชนิด ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่คุณศักดิ์ชัย และคุณตฤณสร ได้ให้ความสนใจปลูกในพื้นที่ 30 ไร่ ปัจจุบันปาล์มมีอายุ 1-3 ปี ปาล์มที่มีอายุ 3 ปีให้ผลผลิตแล้ว

ในการปลูกปาล์ม คุณศักดิ์ชัย และคุณตฤณสรว่าการปลูกในเขตพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรต้องให้น้ำช่วย เพราะปาล์มเป็นพืชที่ต้องการปริมาณน้ำฝนมาก ความชื้นในอากาศสูง และจังหวัดกำแพงเพชรมีอุณหภูมิสูงในฤดูร้อนและอากาศเย็นในฤดูหนาวเป็นสภาพที่อุณหภมิไม่ค่อยเหมาะสม 

พันธุ์ปาล์มที่นำมาปลูกใช้เทเนอรา 

การปลูกปาล์มในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรจึงเป็นการศึกษาหาความรู้ต้องอาศัยระยะเวลาในการศึกษาอย่างน้อยอีก 5 ปีว่าผลผลิตทีได้จะคุ้มค่าหรือไม่ สำหรับการเจริญเติบโตทางต้นถือว่าต้นปาล์มเจริญเติบโตดีพอสมควร

ผลงานทางวิชาการกับทดลองทำจริงอาจจะได้คำตอบที่เหมือนหรือแตกต่างกันก็ได้แต่มีการทดลองได้ปฏิบัติจริงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแต่การปลูกปาล์มครั้งนี้คงต้องอาศัยระยะเวลานานหลายปี
Read more ...