11 ธันวาคม 2553 เวลา 09:22 น.
ผ่านทางP\”พินิจ\”ถอดสูทสวมบู๊ตเข้าสวนยาง.
สลัดภาพ “นักการเมือง” ไปสวมบทบาท “เกษตรกร” ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่แค่งานอดิเรกฆ่าเวลา 5 ปี ที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง แต่เป็นงานประจำเต็มตัวกับการดูแล “สวนยาง”….
โดย..ทีมข่าวการเมือง
ปลูกยาง…ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่
สลัดภาพ “นักการเมือง” ไปสวมบทบาท “เกษตรกร” ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่แค่งานอดิเรกฆ่าเวลา 5 ปี ที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง แต่เป็นงานประจำเต็มตัวกับการดูแล “สวนยาง” ซึ่งกำลังออกผลสร้างรายได้ 3-4 ล้านบาทต่อเดือน มากกว่าเงินเดือนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็น
“พินิจ จารุสมบัติ” หนึ่งในกลุ่ม “3 P” กับบทบาทใหม่ในฐานะประธานชมรมเกษตรกรผู้ปลูกยางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งมีสมาชิก 3,000 กว่าครอบครัว ในฐานะผู้บุกเบิกการปลูกสวนยางในภาคอีสาน เปิดใจถึงงานปัจจุบันที่กำลังไปด้วยดี ชนิดที่เจ้าตัวยังเปรยว่า “ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่”
ย้อนไปในอดีตที่ “ยางพารา” ยังไม่แพร่หลายในพื้นที่ภาคอีสานเท่าปัจจุบัน “พินิจ” ในฐานะ สส.หนองคาย พ่วงอดีต รมช.คมนาคม ยังยอมรับว่า “ไม่มั่นใจ” กับการปลูกยางพาราในพื้นที่ จ.หนองคายแต่ในฐานะที่เป็นคนผลักดันงบประมาณให้กับกองทุนสงเคราะห์สวนยาง นำพันธุ์กล้ายางไปแจกให้ชาวบ้าน ซึ่งไม่มีชาวบ้านกล้าหันมาลองปลูกยาง
ท่ามกลางคำถามว่า “เฮ็ดได้บ่” “เฮ็ดแล้วมีน้ำยางบ่” “เฮ็ดแล้วบ่เห็นมีโรงงาน บ่มีพ่อค้าใครจะมารับซื้อ” ยิ่งระยะเวลากว่าจะเริ่มกรีดได้ต้องใช้เวลา 6-7 ปี ทำให้เป็นอุปสรรคให้ชาวบ้านไม่กล้า
“เจ้าหน้าที่มาขอร้องผม ตอนนั้นผมเป็น สส. เป็นรัฐมนตรี ชาวบ้านรู้จัก ออกทีวี หนังสือพิมพ์ บอกว่าถ้าผมนำปลูกคนจะเชื่อ ผมก็เชื่อ พอดีกับหัวคะแนนมาขายที่เป็น น.ส.3 ราคาแค่เรือนพัน ไม่แพง ก็ให้แม่บ้านไปผ่อน 3 ปี เป็นแปลงแรก ปลูกยางนำร่องบนพื้นที่เกือบ 300 ไร่”
“พินิจ” มองว่าตอนนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสินค้าเกษตรอื่นก็มีปัญหาเก็บได้ไม่นาน ทั้งมะเขือเทศแตงโม ข้าวโพด การส่งเสริมในช่วงอีสานเขียวที่ส่งเสริมให้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ ก็เป็นกะเทยไม่ออกลูก โครงการไผ่ตงก็เป็นขลี วัวอีสานเขียวก็เป็นวัวพลาสติกไม่ออกลูก กระถินเทพาก็ขายไม่ได้เพราะไม่มีราคา มีแค่เพียง “ยูคาลิปตัส” ที่พอจะเห็นผล แต่โดนเรื่องการตัดและการขนส่ง เพราะโรงงานมีน้อยต้องขนไปที่ จ.ขอนแก่น
“ผมก็ตัดสินใจนำร่อง บอกหัวคะแนน บอก สจ.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ไปไหนก็รณรงค์ให้ปลูกยาง จนวันนี้ยางราคาดี เกษตรกรแฮปปี้กันหมดแค่ ต.บึงกาฬ ก็ได้เงินจากยางปีละพันล้านบาท แค่ต.ชัยพร ที่ผมอยู่รายได้ทั้งปีก็ 200 ล้านบาท วันนั้นผมต้องขอร้องให้ปลูกเถอะ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลูกน้อง พอวันนี้มาเจอก็เข้ามากอด บอกรวยได้เพราะเชื่อผม”
ยิ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ที่ถือเป็นปีทองของเกษตรกรสินค้าเกษตรทุกตัวราคาดีมาก ณ วันที่สัมภาษณ์ราคายางแผ่นดิบรมควันอยู่ที่กิโลกรัมละ 130 บาทยางพาราแผ่นดิบเกรด 3 ไม่รมควัน ราคากิโลกรัมละ126 บาท สินค้าเกษตรอื่นๆ ก็ดี อ้อยตันละ 1,200-1,400 บาท มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าวเปลือก ทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า หอมมะลิ ราคาดีหมด
“ผมไม่คิดว่ายางจะราคาดีขนาดนี้ เคยคิดว่า 50-60 บาท เราก็พอใจแล้ว เหมือนถูกลอตเตอรี่แล้วแต่นี่ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่ 126 บาท วันนี้ต้นทุนที่ผมทำคิดว่าไม่น่าเกินกิโลกรัมละ 23-24 บาท ให้มากสุด25 บาท และไม่ต้องห่วงตลาด เพราะตลาดโลกยังต้องการอีกมาก ความต้องการยังมีเพิ่มขึ้น รถยนต์ ชิ้นส่วนที่ต้องใช้ส่วนผสมจากยาง ทั้งสายพาน ขอบกระจก ถุงมือ ถุงยางอนามัย
ปลูกยางยังได้อีกหลายเด้ง อย่างวันที่ต้นยางหมดอายุ เราก็ขายไม้ได้อีก 6 หมื่นบาทต่อไร่ พอปลูกใหม่ก็ได้สงเคราะห์อีก 1.2 หมื่นบาท ขณะที่ที่ดินแอสเซตก็ยังเป็นของเรา แถมยังได้ช่วยลดภาวะโลกร้อน ได้เพิ่มออกซิเจน ได้เพิ่มคาร์บอนเครดิต ผมก็บอกเกษตรกรปลูกยางว่า คนที่เข้มแข็งแล้วคือคนที่ไม่มีหนี้ ก็ต้องช่วยคนที่อ่อนแอ คือการแจกปุ๋ย แจกกล้ายาง ใครยังมีปัญหาเราก็ช่วย ขาดเหลืออะไรเราก็ช่วยเสร็จแล้วกรีดยางค่อยมาคิดบัญชีกัน นี่คือการรวมกลุ่มที่ให้ทุกคนเดินไปได้”
พินิจ เล่าให้ฟังว่า จากเดิมที่เริ่มจากที่เคยคิดจะทำเล่นๆ ให้แม่บ้านไปช่วยซื้อที่มาปลูกเพื่อนำร่อง แต่ก็ทุ่มเทให้ความสนใจไปศึกษาด้วยตัวเอง ไปดูมาหมดทั้ง จ.ระยอง หนองใหญ่ วังหิน จ.ตรัง อ.หาดใหญ่จนนำมาสู่การทำงานโรงงานต้นแบบเครื่องทำแผ่นยาง ที่นำเอาข้อดีของแต่ละแห่งมาใช้ และปรับปรุงข้อด้อย เป็นโรงงานของตัวเองที่งบประมาณไม่ถึงล้านบาท และมีคนสนใจมาดูงาน
“การบริหารจัดการเรื่องผลผลิตการเกษตร เรื่องคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ จะขายได้ราคาหรือไม่อยู่ที่คุณภาพ ของสวยไม่สวย เพราะฉะนั้นการทำแผ่นต้องมีเทคนิคขั้นตอนเรียนรู้ คนใต้มาดูโรงงานผมยังยอมรับ”
นอกจากงานด้านการบริหารจัดการแล้ว “พินิจ”ยังลงมือทำสวนยางด้วยตัวเอง ตั้งแต่การปลูก ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย ที่เขาติดอกติดใจถึงขั้นที่ไปไหนก็คิดถึงอยากกลับมาดูสวน ขนาดที่ถ้าเป็นคืนเดือนหงายแสงจันทร์ส่อง พอเห็นทาง 4-5 ทุ่ม ก็ยังขลุกอยู่ในสวนยาง
ที่สำคัญเป็นการทำการเกษตรแบบครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการเป็นกล้ายาง ติดตา การปลูก การกรีดการทำแผ่น แม้แต่ “ปุ๋ย” ยังเป็นปุ๋ยคอกที่ทำเอง ซึ่ง “พินิจ”อธิบายวิธีทำอย่างคล่องปร๋อว่า ทำมาจากขี้อ้อยจากโรงงานน้ำตาล ขี้วัว ร็อกฟอสเฟต และส่าเหล้า สารเร่ง พด.2 กากน้ำตาล โมลาส ผสมน้ำจำนวนหนึ่งแล้วหมักไว้ 3 เดือน ก่อนนำไปใช้ให้ใส่ยูเรีย 30%
พร้อมกันนี้ยังอธิบายต่อว่า การกรีดยางปีหนึ่งกรีดได้ 10 เดือน พัก 2 เดือน คือ ช่วงผลัดใบในเดือน ก.พ.-มี.ค. ในช่วงหน้าฝน หากฝนตกแรงหน้ายางเปียกก็กรีดไม่ได้ ก็จะใช้วิธีกรีดเบิ้ลในวันถัดมา เพราะถือว่าพักในช่วงที่ฝนตกหน้ายางเปียกไปแล้ว ดังนั้นเฉลี่ยปีหนึ่ง 10 เดือน 300 วัน กรีด 2 วัน เว้น1 วัน ปีหนึ่งก็จะเหลือ 200 วันที่กรีดยางได้
ปัจจุบันสวนยางของพินิจมีแรงงานคอยกรีดยาง 26 ครอบครัว มาจากชุมพร สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ ที่ล้วนแต่ฝีมือดี กรีดรวมกันทั้งหมด 3.1 หมื่นต้น รายได้ต่อครอบครัวสองคนผัวเมียรวมแล้วกรีด 1,400 ต้น เดือนหนึ่งตกประมาณ 4 หมื่นบาท ดีกว่างานที่จบปริญญาโท แถมยังอยู่ฟรี มีข้าวให้กินน้ำ-ไฟฟรี
“ขณะนี้ผมตั้งเป็นชมรมเพื่อจะได้พัฒนาคุณภาพ เพราะกรีดยางต้นเล็กเท่ากับทำลายต้นยาง คุณภาพยางไม่ได้ สองอย่าขายยางถ้วย ชาวบ้านไม่มีเวลาทำแผ่นเพราะมันเหนื่อยเขาทำขายเป็นขี้ยาง ยางก้อนถ้วยเหมือนผีในป่าช้า ไปถึงอย่างไรก็ต้องขาย เก็บไว้ไม่ได้ ผมก็ส่งเสริมให้ทำแผ่นยาง”
พินิจ อธิบายว่า อาชีพเกษตรกรถ้าทำอย่างตั้งใจทำ ศึกษาเรียนรู้ให้ดี มองช่องทางให้ดี ไม่มีทางจน อย่างใครปลูกยางปลูกมันสำปะหลัง ไม่มีจน ถ้าพันธุ์ดี น้ำดี ดินดี บริหารจัดการดี 3 ปี คืนทุนหมด
ส่วนจังหวัดอื่นในภาคอีสานใช่ว่าจะปลูกยางได้ทั้งหมดเพราะต้องเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 2,400 มิลลิเมตร ค่าพีเอชของดินไม่เกิน 6 จะให้ดีต้องอยู่ที่ 5.4-5.5 ความชื้นหน้าดินขุดลงไป 2 คืบจะต้องเปียก เดี๋ยวนี้ดูจนชำนาญ ขุดไปในดินถ้าร่วนปนทราย 50-50 จะดีมาก หรือสังเกตจากต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆ ข้าง ถ้ามี “ไม้แดง” ขึ้นแสดงว่าอุดมสมบูรณ์ ปลูกยางได้
“วันนี้ในภาคอีสานที่ปลูกยางได้ส่วนใหญ่จะเป็นเขากับเลียบแม่น้ำโขง เพราะมีความชื้น เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ส่วนภาคเหนือจะเป็นเชียงราย แพร่ น่าน ปลูกได้หมด มาถึงเพชรบูรณ์ พิษณุโลกบางส่วน”
ไม่หยุดแค่ในประเทศ เมื่อ “พินิจ” กำลังเดินหน้าโครงการความร่วมมือ 3 ประเทศ ไทย จีน ลาว เดินหน้าปลูกยางในพื้นที่แขวงคำง่วน ในพื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งอนาคตเรื่องยางนี้ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ จากซีพี เคยมองว่าอนาคตยางน่าจะถึงกิโลกรัมละ 150 บาท และก็เป็นจริงอย่างที่พูด วันนี้ยางราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 130 บาท
“ขออยู่เบื้องหลังการเมือง”
แม้จะติดร่างแหอยู่ใต้ชายคาบ้านเลขที่ 111 โดนเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ทว่าชื่อ “พินิจ จารุสมบัติ” กลับไม่ได้ห่างหายไปจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองหนำซ้ำยังกลายเป็นอีก “ตัวแปร”สำคัญในแวดวงการเมืองด้วยบทบาทหนึ่งในแกนนำกลุ่ม 3 พี
“พินิจ” อธิบายว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองหลังจากถูกเว้นวรรคแต่ด้วยความที่คนอาจมองว่าเรายังเป็นผู้ใหญ่ มีเครือข่าย เขาก็มาปรึกษา เราก็ให้คำปรึกษา บางครั้งไม่มาปรึกษาแต่เราเห็นสิ่งไหนไม่ดีเราก็บอกเขาไป
“พรรคนี่เราไม่ได้ไปเลย นานๆ ไปเยี่ยมเขาทีนึง อยู่หนองคายเป็นหลัก ข่าวที่ออกมาก็เป็นข่าวที่มีผู้มุ่งหวังประโยชน์นำไปหาผลประโยชน์เท่านั้น โดยเฉพาะพรรคการเมืองต้องการดิสเครดิต
แต่จะเห็นว่าเราไม่ได้ไปบงการ ไปตัดสินใจอะไร เขามาปรึกษาเราก็ให้คำปรึกษา หรือบางครั้งเราเห็นอะไรก็บอกไป เราไม่ได้มีเพื่อนอยู่พรรคเดียว แต่มีเพื่อนอยู่หลายพรรค เกือบทุกพรรค เรามีเพื่อนประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมใจไทย เพื่อไทย เรามีหมด”
ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่า กลุ่ม 3 พี ถูกทาบทามมาเป็นอะไหล่เสริมความเข้มแข็งให้รัฐบาลประชาธิปัตย์นั้น “พินิจ” ได้แต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่รู้เรื่อง แต่ส่วนตัวก็มุ่งหวังและสนับสนุนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ไขปัญหาประเทศชาติให้ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ เมื่อถูกเว้นวรรคก็ต้องถอยออกมา แต่ในฐานะประชาชนต้องทำหน้าที่พลเมืองดีเป็นประชาชนที่ดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ส่วนตัวอยากให้คนไทยทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจผนึกกำลังสามัคคีคนทั้งประเทศได้ช่วยกันทำให้ชาติบ้านเมือง ทั้งสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ มีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงเข้มแข็ง
“พวกเราก็ต้องช่วยกันทั้งประเทศประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาประเทศ เราทุกคนต้องรักษาชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาแผ่นดินประเทศเอาไว้ไม่ให้บอบช้ำล่มสลายไป ควรจะทุ่มเท มีความจริงใจ เสียสละ
พวกเราถือว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสำคัญ เป็นสถาบันหลักของประเทศให้คนไทยทุกคนต้องเสียสละ ช่วยปกป้องรักษาจะแก้ไขได้ทุกคนต้องมีความจริงใจ และแก้ไขด้วยคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต”
นับถอยหลังแล้วเหลือเวลาเพียงแค่อีกปีกว่า”พินิจ” ก็จะพ้นจากชายคาบ้านเลขที่ 111 แล้วทว่าเขากลับมองอนาคตทางการเมืองว่าคงจะผันตัวเองไปอยู่ข้างหลัง พร้อมเปิดให้คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ คุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริตมารับใช้บ้านเมือง
“เราก็เป็นมามากแล้ว ผมก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกฯ มาทั้งหมด 9 ครั้ง เราก็ต้องให้คนรุ่นใหม่ๆ มีความรู้ความสามารถ สนับสนุนคนรุ่นใหม่ขึ้นมา แต่คนที่จะไปทำงานเพื่อประเทศเพื่อประชาชน นอกจากมีความรู้ มีคุณธรรมซื่อสัตย์สุจริต ขณะนี้ต้องได้คนที่มีความเสียสละทุ่มเทจริง”
“สะพาน”การค้าไทย-จีน
ในฐานะนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน “พินิจ” ได้สร้างผลงานภายใต้หมวกใบใหม่ครั้งสำคัญกับการผลักดันสร้างสะพานเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างไทย-จีน ทั้งในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว จนเริ่มเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
ที่ผ่านมามีทั้งการจัดบิซิเนส ฟอรัม ให้นักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจจีนได้พบกันแบบ “วันบายวัน” จับแมตชิงคู่ธุรกิจไปทั้งหมด 7 ครั้ง ทั้งในประเทศไทยและจีน มีนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหลายสิบราย นักธุรกิจไทยไปค้าขายส่งสินค้าออกไปยังประเทศจีนทั้งพืชผลเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นๆ ทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯลฯ
ครั้งสำคัญได้แก่ บิซิเนส ฟอรัม ที่พัทยา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก การจับคู่นักธุรกิจในครั้งนั้นคิดเป็นมูลค่าราว 5,000-6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการเปิดตลาดไปประเทศจีนได้มาก ซึ่งคาดว่าปีนี้การค้าขายระหว่างไทย-จีนจะสูงถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ยังได้ขยายกิจกรรมไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศจีน ตั้งแต่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้กว่างโจว ชิงเต่า ซูโจ คุนหมิง ต้าหลี่ หลี่เจียมองโกเลียใน เฉิงตู กว่างซี เสิ่นหยาง ที่สามารถปูทางยกระดับความสัมพันธ์ไทย-จีนได้เป็นอย่างดี ส่วนแผนในปีหน้า ได้เตรียมจัดพบปะนักธุรกิจไทย-จีนที่เมืองไหหลำ ช่วงเดือน ม.ค.จัดบิซิเนส ฟอรัม ที่เมืองหนานฉาง มณฑลเจียงซี ในเดือน พ.ค.
“ที่ผ่านมาที่พัทยามีนักธุรกิจจีนมาร่วมเกือบ300 คน นักธุรกิจไทย 500 คน ของเราไปปักกิ่งนักธุรกิจไทยร้อยกว่า นักธุรกิจจีนมาเป็นพันคนเราจับคู่ไม่ต้องการปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ ซึ่งประสบความสำเร็จดี คือไม่ได้ไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไปแบบมีการบริหารจัดการ เป็นระบบทำการบ้านล่วงหน้า”
พินิจ อธิบายว่า สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เป็นสมาคมที่มีความสัมพันธ์กับผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศจีน เป็นเครือข่ายทำให้การติดต่อประสานงานกิจกรรมต่างๆ ในประเทศจีนเป็นไปด้วยความสะดวกและเกิดผลสำเร็จ อีกทั้งยังจับคู่กับสมาคมนักธุรกิจจีนยอดเยี่ยมของประเทศจีน
“งานเราส่งเสริมสนับสนุนให้เขาคุยกันสมาคมไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เป็นแค่สะพานเชื่อมเรื่องมิตรภาพสัมพันธไมตรีเท่านั้น ส่วนการค้าขายแล้วแต่พ่อค้านักธุรกิจจะไปคุยกันตกลงกัน จะมีกำรี้กำไรก็เป็นเรื่องของเขา ที่สำคัญเราคัดเลือกนักธุรกิจไทยที่มีเครดิต มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือไปค้าขายทางจีนก็จะคัดบริษัทนักธุรกิจที่มีคุณภาพ”
ทั้งนี้ บางเรื่องก็ประสานงานกับรัฐบาล เช่น สำนักงานส่งเสริมการลงทุน กรมการค้า กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเน็ตเวิร์กที่ดำเนินการได้ในตัวเอง และอาจจะดีกว่าทางราชการ
“ระบบราชการเรารู้กันอยู่ว่า อืดอาด ยืดยาดอาจจะไม่ทันสถานการณ์ และงบประมาณน้อยคนน้อย ขาดบุคลาการที่มีความรู้หรือทุ่มเท งานด้านนี้ต้องการคนมีพลัง ทุ่มเทอย่างจริงจังถึงจะประสบความสำเร็จ หวังระบบราชการยาก แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานของไทยในประเทศจีนให้การสนับสนุนดีมาก แต่ว่าเขาอาจจะมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ เรื่องคน หรือความรู้ความสามารถข้าราชการ”
พินิจ วิเคราะห์ว่า ตลาดเมืองจีนยังมีอนาคตมาก ประชากรจีนมี 1,300 ล้านคน กำลังซื้อแค่20% ก็มหาศาลแล้ว การบริโภคของจีนเวลานี้สูงมาก ที่สินค้าเกษตรทุกตัวราคาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยางพารา พลังงานชีวภาพ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพด รวมทั้งอาหารแช่เข็งราคาสูงก็เพราะตลาดจีนทั้งนั้น ตลาดจีนเปิดกว้างมาก ตลาดรถยนต์ปีนี้เขาคาดว่าจะมีรถ14-15 ล้านคัน ที่จะจดทะเบียนใหม่ในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนมาก แต่หากเทียบกับประเทศอื่นยังน้อยอยู่ส่วนใหญ่ยังเป็นยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวันเกาหลี ประเทศไทยมีแต่ว่าขณะนี้คนไทยไปลงทุนการโรงแรม การเกษตร ผลไม้ ค้าขาย โรงงานน้ำตาล โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ชิ้นส่วน อะไหล่รถยนต์ นิคมอุตสาหกรรมพัฒนาที่ดิน แต่ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่มาก รายใหญ่จริงๆ ก็มีบริษัท ซีพี
“ในส่วนของรัฐบาลก็ทำไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว มันมีระหว่างภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคมองค์กรต่างๆเยอะแยะ นี่ก็ช่วยกันเสริมสร้างให้เรื่องมิตรภาพระหว่างประชาชนให้แน่นแฟ้น ยกระดับให้สูงขึ้น
ผมแปรเปลี่ยนจากมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องอยู่แล้ว แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวเสริมสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งสองให้ขยายการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อสัมพันธภาพสองประเทศองค์กรมีเยอะ เครือข่ายในการผูกสัมพันธไมตรีเพราะประเทศจีนใหญ่มาก ยิ่งมีหลายหน่วยงานยิ่งแสดงว่าความสัมพันธ์ทวีคูณเพิ่มขึ้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น